“ชวลิต” ชี้ คำสั่งคสช.ให้ทหารยศร้อยตรีมีอำนาจจับกุมทำประเทศถอยหลัง ใช้ไปสักพักน่าจะประเมินปฏิกิริยาประชาคมโลก ชี้ ไม่เห็นใครต่อต้านจนเป็นภัยต่อรบ.สักคน
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รักษาการรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีคสช.มีคำสั่งที่ 13/2559 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ที่ผ่านมา มีสาระแต่งตั้งนายทหารยศร้อยตรีขึ้นไป เป็นเจ้าพนักงานฯ มีอำนาจจับกุมผู้กระทำผิดหรือสงสัยว่ากระทำผิด มีอำนาจเข้าไปตรวจค้นในเคหสถานได้โดยไม่ต้องมีหมายค้นและไม่จำกัดเวลา มีอำนาจเรียกบุคคลมาให้ข้อมูลและควบคุมตัวบุคคลได้ใน 7 วัน สถานที่ควบคุมจะต้องไม่ใช่สถานีตำรวจ เป็นต้น โดยมีบัญชีความผิดแนบท้ายคำสั่งกว่า 20 รายการ ว่า ตนรู้สึกเสียดายเวลาและโอกาส ว่าห้วงเวลานี้เป็นห้วงเวลาที่คสช.และรัฐบาลจะคืนความสุขให้กับประชาชน เป็นเวลาที่รัฐบาลควรประชาสัมพันธ์ว่ารัฐบาลกำลังจะทำประชามติเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชนตามขั้นตอนของโรดแมปจะได้สร้างความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและต่างประเทศให้เข้ามาลงทุน มาค้า มาขายให้เศรษฐกิจโงหัวขึ้น ตนว่าทุกภาคส่วนอยากเห็นภาวะเศรษฐกิจจะดีขึ้นตามเวลาที่เคลื่อนไปตามโรดแมป แต่คำสั่ง คสช.ที่ 13/2559 ดังกล่าว คือ กฎหมายพิเศษที่ให้อำนาจทหารเต็มพิกัดเหมือนบ้านเมืองกำลังมีศึก สงคราม ทั้งๆ ที่รอบบ้านเราก็ปกติสุข ภายในบ้านเราก็ไม่มีใครหือ อือ กับอำนาจของทหาร แค่การแสดงความเห็นต่างไม่ได้เป็นการปลุกปั่นยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมืองขึ้นได้
นายชวลิต กล่าวว่า จึงเป็นเรื่องแปลกที่เวลานี้ควรเป็นเวลาที่บ้านเมืองจะเดินไปข้างหน้าด้วยการคืนความสุขให้กับประชาชน แต่กลับย้อนเวลาหาอดีตย้อนหลังไปหลายสิบปีสมัยจอมพลสฤษฎิ์ ธนรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งออกกฎหมายพิเศษให้อำนาจทหารเต็มพิกัดเช่นกัน เราถอยหลังบ้านเมืองถึงเพียงนี้เชียวหรือ กฎหมายปกติทั้งกฎหมายอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เอาสถานการณ์บ้านเมืองไม่อยู่หรือ ตนไม่เห็นมีใครต่อต้านจนเป็นภัยต่อรัฐบาลได้แม้แต่จะระคายผิวขน ด้วยเหตุผลดังกล่าวตนจึงไม่อยากเชื่อคำร่ำลือว่าการประชามติคราวนี้ จะปิดประตูตีแมวเพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านให้ได้ด้วยมาตรการต่างๆ เหตุที่ไม่เชื่อก็เพราะ กรธ.และแม่น้ำทุกสายต่างบอกว่า ร่างรัฐธรมนูญดี เป็นร่างปราบโกง ซึ่งก็ควรไปพิสูจน์กันอย่างแฟร์ๆ ว่า ประชาชนจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ส่วนคำสั่งดังกล่าว เมื่อออกมาแล้ว ลองใช้ไปสักระยะ ก็น่าจะประเมินจากปฎิกิริยาของประชาคมโลกและเพื่อนบ้านของเรา ว่าเขาจะรังเกียจเราไหม เพราะปัจจุบันเข้าศตวรรษที่ 21 แล้ว เราไม่ควรเป็นประเทศที่แปลกแยกในสังคมโลก