‘บิ๊กตู่’ เปิดใจคนไทยในฝรั่งเศส เพิ่มสัมพันธ์ ‘ยุโรป’ แจง ‘การเมือง’

หมายเหตุ – พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวระหว่างพบปะคนไทยในฝรั่งเศส ในโอกาสเยือนสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 20-26 มิถุนายน


 

ย้ำเยือนยุโรปเพิ่มสัมพันธ์ที่ดี

เป็นการเปิดศักราชใหม่ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมานั้นเราอาจจะมีความใกล้ชิดกันน้อยเกินไป โดยเฉพาะในช่องทางของรัฐบาลและการเมือง เพราะที่ผ่านมาเป็นเพียงความร่วมมือทางด้านเอกชน การค้า การลงทุนระหว่างกัน ซึ่งวันนี้รัฐบาลมีความจำเป็นที่จะเดินหน้าตรงนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายในปัจจุบันและสถานการณ์โลก และเพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ามากนัก จึงจำเป็นที่จะต้องหาพันธมิตรที่เรียกว่า หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นประเทศใดแต่ต้องดำเนินนโยบายให้สมดุลในทุกมิติกับทุกประเทศ และเราก็เห็นว่ากลุ่มในประเทศยุโรปมีศักยภาพสูง โดย 2 ประเทศแรกที่มาพบปะ คือ อังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งในการหารือกับประเทศอังกฤษก็ได้พูดถึงความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนาน 400 ปี และผลประโยชน์ร่วมกันโดยเฉพาะการค้าการลงทุนหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ และการลงทุนของไทยในอีอีซี และพื้นที่ต่างๆ รวมถึงมาตรการจูงใจ

การเยือนยุโรปในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นการเยือนครั้งสำคัญเพื่อเพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันกับประเทศในสหภาพยุโรป ตนได้นำหัวใจของคนไทยในประเทศมาด้วย คนไทยในไทยก็มีความเป็นห่วงคนไทยในต่างประเทศเช่นกัน แม้บางคนจะเกิดต่างประเทศ แต่ก็ถือเป็นคนไทยสายเลือดไทยด้วยกัน การมาครั้งนี้เพื่อให้ต่างประเทศเข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองของไทย แม้จะมีการคบค้าสมาคมมาอย่างยาวนานแต่ก็ค่อนข้างจะเหินห่าง เนื่องด้วยระยะทางและความสนใจตามช่วงเวลา เช่น การออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Brexit) สงครามการค้าที่หลายประเทศต้องร่วมมือกัน การพบปะกับนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร ตนได้เล่าถึงพัฒนาการทางการเมือง และโครงการต่างๆ ได้มีการทำหลายอย่างขึ้นมา รัฐบาลนี้ปฏิรูปกฎหมายมาใหม่ประมาณ 400 ฉบับ การออกใหม่ไม่ได้ออกมาเพื่อบังคับคน แต่เป็นการนำของเก่ามาแก้ไข โดยเฉพาะเรื่องกฎหมายการค้าการลงทุน สิทธิประโยชน์บีโอไอ กติกาเปลี่ยนมานานแล้ว แต่บ้านเราไม่ค่อยให้ความสนใจ สนใจแต่ในเรื่องที่ขัดแย้ง

Advertisement

เร่งช่วยคนรายได้น้อยแต่ไม่แจกเงิน

วันนี้ที่เลือกมายุโรปไม่ใช่ว่าเขาเกลียดผม แล้วผมต้องมา แต่ที่มาเพราะเขาเห็นศักยภาพเราเป็นศูนย์กลางของอาเซียน หากไม่เชิญก็คงไม่มา เพราะมาไม่ได้อยู่แล้ว เราต้องนำศักยภาพมาทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ถ้าเราไม่ทำอะไรใหม่ๆ หากินแบบเดิมจากเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เรามีการปฏิวัติทางเศรษฐกิจ และการผลักดันการลงทุนในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกของไทย (อีสเทิร์นซีบอร์ด) เกิดขึ้นในสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี หากมองว่าเรากำลังกินบุญเก่าอยู่ก็เป็นสิ่งที่ใช่ ทั้งในเรื่องการเกษตรเราทิ้งไม่ได้ เพราะเราเป็นประเทศเกษตรกรรม แต่เราก็ไม่สามารถผูกรายได้ของประเทศไว้กับการเกษตรกรรมเพียงอย่างเดียว เพราะหลายประเทศก็มีการปรับตัวในเรื่องของความมั่นคงทางอาหาร และปัญหาของบ้านเราที่ราคาสินค้าเกษตรมีต้นทุนสูงเนื่องจากใช้แรงงานคน วันนี้รัฐบาลจึงต้องรื้อทั้งหมด นำระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุกออนไลน์ (Agri-Map) เกษตรทฤษฎีใหม่เข้ามาปรับใช้ เดิมเราเคยชินกับการชดใช้ราคาที่หากสนับสนุนมากไปก็จะผิดกติกาขององค์การการค้าโลก (WTO) ทั้งเรื่อง อ้อย น้ำตาล ข้าว รัฐบาลนี้เข้ามาแก้ไขมิเช่นนั้นก็จะโดนฟ้องหลายกิจการ วันนี้จึงต้องสร้างการเรียนรู้ให้ตลาดทำการผลิตไม่ใช่การปลูกตามกันเหมือนเดิม และอีกสิ่งหนึ่งจะทำให้อยู่ได้ในวันหน้า เราจะต้องวางแผน 20 ปีในวันข้างหน้ารัฐบาลนี้ได้วางแผนประเทศจะต้องหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง

สิ่งแรกที่เราเขียนไว้คือประเทศจะต้องมีความมั่นคงทางทหาร ชีวิตและทรัพย์สิน ความมั่งคั่ง ปัจจุบันมีคนกว่า 14 ล้านคน มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ ไม่ต้องเสียภาษี แต่เราจะหวังให้คนเหล่านี้ไม่ต้องเสียภาษีไปตลอดไม่ได้ จะต้องทำให้คนเหล่านี้มีรายได้สูงพอจะเข้าไปในระบบภาษี เพราะปัจจุบันมีคนเสียภาษีอยู่ 10 ล้านคน หักลดหย่อนภาษีก็เหลือประมาณ 6-7 ล้านคน เลี้ยงคน 60-70 คน เป็นการนำภาษีมาดูแลในเรื่องสาธารณสุข การศึกษาฟรี ขอถามว่าวันหน้าจะเอาเงินมาจากไหนถ้ามีคนเสียภาษีแค่เท่านี้ ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลมุ่งหวังจะเก็บภาษีทุกคน แต่ทุกคนจะต้องมีขีดความสามารถในการเสียภาษี รัฐบาลจึงตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อคนรายได้น้อย รายได้ปานกลาง และรายได้สูง เรื่องการรักษาพยาบาลในไทยใช้วิธีการหารเฉลี่ยตกหัวละ 4,000 บาท วันนี้ก็มีคนเรียกร้องอยากได้ค่าคลอดบุตร 50,000 บาท แล้วตนจะเอาเงินมาจากใคร จะไปรีดภาษีจากใคร ขอให้มองสองด้านคิดว่าจะหาเงินมาจากไหน ไม่สามารถไปพึ่งการส่งออกได้ จึงต้องสร้างความเข้มแข็งให้แต่ละหมู่บ้านในชุมชน มีนโยบายไทยนิยม หมู่บ้านละ 2-3 แสนบาท ตำบลละ 3-5 ล้านบาท เพื่อสร้างความเข้มแข็งไม่ใช่การแจกเงินเหมือนที่ผ่านมา ให้ไปแล้วไปปล่อยกู้แล้วหายคนก็ชอบ แต่พอมาทำแบบนี้แล้วคนไม่รักผม แต่วันหน้าคนต้องนึกถึงว่าสิ่งที่ทำคืออะไร เพราะทำในสิ่งที่เป็นส่วนรวม เป็นสิ่งยากจะทำให้ทุกคนพอใจ

Advertisement

บ่นสื่อ-โซเชียลมีเดีย

สาระน้อย-ไร้สาระเยอะอย่างไรก็ตามทุกประเทศคิดในเรื่องนี้มานาน แต่เพราะการเมืองโตกว่าไทย มีการปฏิรูปจนได้บุคลากรที่ดี อย่างอังกฤษที่ไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ก็สามารถปกครองได้มาอย่างยาวนาน ในขณะที่ของเราเขียนแล้วเขียนอีก เราจะไปถึงเขาได้หรือไม่ผมก็ไม่อยากเปรียบเทียบ แต่หากคนของเราสามารถรวมกันได้ เป็นหนึ่งเดียวกันได้ เห็นต่างได้แม้ใครๆ จะไม่ชอบผม ผมก็ไม่ว่าและขอฝากความคิดถึงไปถึงแม้เขาจะไม่รักผมก็ตามแต่ในเมื่อเป็นคนไทยเหมือนกัน ผมทำให้ประเทศไทยและครอบครัวทุกคนที่อยู่ในไทย

เรามองอนาคตเราถึงต้องมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีออกมา มี 6 ด้าน คือ ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง ความเหลื่อมล้ำ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม การปฏิรูประบบราชการ ต้องปรับตัวไม่เป็นศัตรูกับประชาชนแต่ก็ไม่ถึงเป็นข้ารับใช้ของประชาชน ให้เป็นเพื่อนกันอยู่ร่วมกันหรือที่รัฐบาลเรียกว่า ประชารัฐ บางประเทศเป็นประเทศเล็กๆ แต่เก่งในเรื่องของการค้าขาย ใช้สติปัญญา ของเราก็มี แต่ใช้ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง บางทีว่างๆ ก็ทะเลาะกันสักหน่อย แหย่ซ้ายทีขวาทีก็ตีกันตาย ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ลองเปิดดูสื่อสิ ในหนังสือพิมพ์เปิดดูทุกวัน ในโซเชียลมีเดียเปิดดูแล้วกันค่อนข้างจะนอนเซนส์ สาระน้อย ไร้สาระเยอะ แต่ทำให้คนรู้สึกมีส่วนร่วม แชร์ต่อเดี๋ยวจะหาว่าไม่รู้ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องจริง แต่แชร์เพื่อให้รู้ว่าฉันรู้ สรุปว่าแบกภาระคนอื่น กลุ้มใจไปกับเขา โกรธไปกับเขาด้วยไปด้วย นั่นไงถึงเกิดคนสองข้างเสมอ วันนี้เรื่องเหล่านี้ต้องค่อยๆ ลดลงไป มันห้ามไม่ได้ โลกเป็นแบบนี้เพราะทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้

ไม่เคยจับใครมาลงโทษ มีแต่ จนท.ทำตามกฎหมาย

วันนี้ทุกประเทศในโลกมีการวิเคราะห์มาแล้วว่าจะมีปัญหาการบริหารราชการแผ่นดิน ในการปกครองรัฐจะมีอำนาจน้อยลง เพราะประชาชนเข้าถึงโซเชียลมีเดียการสื่อสารด้วยตนเอง นี่คือเสียงของประชาชน บางครั้งเราตรวจสอบไม่ได้ว่าจริงหรือไม่จริง จะไปก้าวล่วงเรื่องสิทธิมนุษยชน จะไปตรวจจับไม่ได้ ยกเว้นคนจงใจ ประเภทด่าทุกวันไม่มีข้อเท็จจริงบิดเบือนจะต้องโดนลงโทษ ทุกประเทศทำอย่างนี้หมด ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีตู่จับคนมาลงโทษ เขียนทุกวัน ผมจับใครมาลงโทษสักคนไหม ยังไม่เคยต้องไปสั่ง เจ้าหน้าที่เขาทำ มีกฎหมายอยู่หากใครทำเกินเลยก็ต้องจับปรับสอบสวนเท่านั้นเอง กลายเป็นว่าผมไปปิดกั้นคน ถ้าผมทำหน้าที่ขนาดนั้นก็ไม่ต้องมาเป็นนายกรัฐมนตรีหรอก มีข้าราชการทำงาน 2-3 ล้านคน ส่วนหน้าที่ผมคือเล่นงานคนไม่ทำงาน นายกรัฐมนตรีมีหน้าที่วางแผน ขับเคลื่อนนโยบาย ติดตามการปฏิบัติ ให้คุณให้โทษเจ้าหน้าที่ และคิดแต่อะไรที่เป็นประโยชน์ไม่ได้คิดจะขี้โกง ได้ตังค์ ได้เงิน ผมไม่มีความต้องการอะไรอีกแล้ว ชีวิตผมจบไปตั้งนานแล้วในเรื่องรับราชการ เป็นทหาร 60 ปีแล้วเบื่อจะตายอยู่แล้ว คำว่าเบื่อคือเบื่อลงโทษคน เบื่อต้องใช้อำนาจ หลายคนไม่เคยมีอำนาจก็อยากจะมีอำนาจ คนมีอำนาจแล้วก็ไม่อยากมีอำนาจ เพราะเขารู้ว่าการมีอำนาจมันยาก เพราะอำนาจมีไว้ใช้ทำความดีให้คุณ

แต่อีกด้านหนึ่งอำนาจก็มีไว้ให้โทษคนอื่น ในฐานะผู้บังคับบัญชา ไม่มีใครอยากให้ร้ายใคร แต่จำเป็นโดยเฉพาะทหาร ราชการก็มีระเบียบวินัยของเขา ดังนั้นสิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดคือการบริหารจัดการแผ่นดิน จำเป็นต้องปรับใหม่ ฉะนั้นจะอยู่ในหัวข้อหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติ ที่มี 6 ข้อ ถามว่ายุทธศาสตร์ชาติของผมมีปัญหากับการเมืองตรงไหน ไม่มี และข้อสุดท้ายของยุทธศาสตร์ชาติ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ผมจึงต้องมาต่างประเทศ

วันนี้ที่เรามาได้ เพราะเรามีอะไรมาขาย มีอีอีซีกำลังเกิดขึ้นในภาคตะวันออก เชื่อมโยงจากอีสเทิร์นซีบอร์ดของ พล.อ.เปรม ซึ่งวันนี้มีคนสนใจจำนวนมากทั้งในเรื่องของอุตสาหกรรมใหม่ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เพื่อรองรับสังคมสูงวัยในอนาคต และเราไม่สามารถพึ่งแรงงานต่างด้าวได้เพียงอย่างเดียว วันนี้เราต้องไปอีกขั้นเป็นศูนย์กลางการบิน ศูนย์กลางการรักษาพยาบาล ทุกคนทำอย่างเหน็ดเหนื่อยกว่าจะนำมาพูดกับเขาได้ มีสินค้ามาขาย เขาเห็นว่าเราเป็นศูนย์กลางอาเซียน และในปีหน้าก็จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม มีนโยบายไทยแลนด์พลัสเป็นสิ่งที่อังกฤษสนใจ เนื่องด้วยนโยบายเบร็กซิท (Brexit) ทำให้มีปัญหาทางเศรษฐกิจจึงต้องมองหาตลาดในอาเซียน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image