ทั้งๆที่การออกมาเน้นย้ำ คำรบแล้วคำรบเล่า ว่าการจัดประชุมครม.สัญจร ไม่เกี่ยวกับการเมือง ไม่เกี่ยวกับ”การดูด” เป็นเรื่องปรกติยิ่ง
ไม่ว่าจะมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ไม่ว่าจะมาจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี
ไม่ว่าจะมาจาก “ทีมงานโฆษก”
กระนั้น กระบวนการในการแถลงลักษณะตอกเน้น ย้ำแล้วย้ำเล่าของแต่ละคน แต่ละหน่วยงานจากรัฐบาลได้ทำให้การจัดประชุม”ครม.สัญจร”กลายเป็นประเด็น กลายเป็นปัญหา
สะท้อนความ”อ-ปรกติ”ที่ดำรงอยู่ภายใน”กระบวนการ”
หากมองจากมุมของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ว่าจะเป็น นายวิษณุ เครืองาม
ความสงสัยในเชิง”การเมือง” เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย ซ้ำซากอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกัน หากคิดนึกตรึกตรองอย่างจริง ภายในความน่า เบื่อหน่าย ซ้ำซาก ของคำถามที่เกิดขึ้นนั้นเองคือเงาสะท้อนในทางความคิดที่ดำรงอยู่ภายในสังคม
ถามว่ามีเรื่อง”การเมือง”ดำรงอยู่ภายใน”ครม.สัญจร”จริงหรือไม่
หากดูจากกรณีสนามช้าง อารีนา บุรีรัมย์ ก็มีอยู่
ยิ่งหากดูจากกรณีย้ายจากเชียงราย พะเยา มายังอุบลราชธานี อำนาจเจริญ ก็มีอยู่
อย่างนั้น นายภิรมย์ พลวิเศษ คงไม่ออกมายืนยันว่าหากประชุมครม.สัญจรที่นครราชสีมา มีโอกาสได้เห็น”พลังโคราช”ไม่ต่ำกว่า 100,000 คน
นี่แหละคือ การเมือง นี่แหละคือ ประเด็น
หากประเมินจากสถานการณ์ครม.สัญจรระยะหลังไม่ว่าที่บุรีรัมย์ สุรินทร์ และที่จะเกิดขึ้นที่อุบลราชธานี อำนาจเจริญ
มีความเป็นไปได้ว่าความสงสัยจะมีมากยิ่งขึ้น
เป็นความสงสัยอันเริ่มต้นมาจากจุดที่มีความพยายามจะสืบทอดอำนาจ
ความคิด”สืบทอดอำนาจ”นั่นแหละคือตัวปัญหาอย่างแท้จริง