| ที่มา | หน้า 2 มติชนรายวัน |
|---|---|
| เผยแพร่ |
หมายเหตุ – นายวิบูลย์ รัตนาภรณ์วงศ์ ผู้ว่าฯชุมพร และนายจตุพจน์ ปิยัมปุตระ ผู้ว่าฯระนอง ให้สัมภาษณ์ถึงความพร้อมและข้อเสนอโครงการพัฒนาต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ระหว่างเดินทางมาตรวจราชการ จ.ระนองและชุมพร พร้อมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ระหว่างวันที่ 20-21 สิงหาคม
วิบูลย์ รัตนาภรณ์วงศ์
ผู้ว่าฯชุมพร
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีที่เล็งเห็นความสำคัญของ จ. ชุมพรและระนอง โดยเฉพาะ จ.ชุมพร ที่เคยถูกมองว่าเป็นแค่ประตูภาคใต้เท่านั้น แต่รัฐบาลชุดนี้มองเห็นศักยภาพว่าชุมพรและระนองเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างประเทศฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก ที่เชื่อมระหว่างสองฝั่งทะเล ซึ่งเรื่องนี้อาจยังไม่มีใครมองเห็น แต่รัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญจนนำมาซึ่งโครงการต่างๆ เพื่อพัฒนาภาคใต้ในจุดนี้ การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 20-21 สิงหาคม จะเป็นการประชุมเพื่อพัฒนาทั้งสองฝั่งทะเลคือฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน โดยใช้จุดเริ่มต้นที่ชุมพร
ข้อเสนอเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของทั้งสองกลุ่มจังหวัด ไม่ใช่ข้อเสนอที่คิดขึ้นเองลอยๆ แต่เกิดจากกรอบการพัฒนาภาคใต้และแผนยุทธศาสตร์ชาติ ผนวกกับแผนของกลุ่มจังหวัดทั้งสองกลุ่ม ซึ่งมีการกลั่นกรองทั้งระดับจังหวัด ระดับกลุ่ม และได้ผ่านการพิจารณาของกระทรวงมหาดไทยในรูปของคณะกรรมการ โดยมีสภาพัฒน์ สำนักงบประมาณ และกระทรวงที่เกี่ยวข้อง นำไปพิจารณาในภาพรวมของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของทั้งสองกลุ่ม ที่ประชุมไปแล้วเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม และยังมีภาคเอกชนที่ถือเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมคือ หอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว สภาเกษตรกร และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด 11 จังหวัดที่เข้าไปร่วมด้วย ซึ่งต้องขอขอบคุณ พล.อ.
อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่กรุณาช่วยเป็นประธานในการกลั่นกรองให้เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา
ในส่วนของชุมพรมี 2 ระดับของโครงการ คือ 1.โครงการ เมกะโปรเจ็กต์ ที่รัฐบาลได้วางเอาไว้เพื่อเชื่อมโยงจังหวัดและกลุ่มจังหวัด เช่น โครงข่ายถนนที่มีการออกแบบก่อสร้างระบบโลจิสติกส์จากสถานีรถไฟชุมพรเชื่อมต่อไปยังท่าเรือน้ำลึกระนอง ที่กำลังเร่งรัดออกแบบก่อสร้างเพื่อเชื่อมโยงไปประเทศกลุ่ม BIMSTEC (ประเทศกลุ่มอ่าวเบงกอล) นอกจากนั้นยังมีแผนพัฒนาทางรถยนต์ 4 ช่องทางจราจรที่อยู่ในแผนของกระทรวงคมนาคมอยู่แล้ว 2.โครงการบิ๊กโปรเจ็กต์ อีก 1 โครงการคือ THAILAND RIVIERA คือการพัฒนาถนนเลียบชายฝั่งอ่าวไทยตั้งแต่ชุมพรลงไปเพื่อการท่องเที่ยว ทั้ง 2 โครงการถือเป็นเมกะโปรเจ็กต์ และบิ๊กโปรเจ็กต์ที่ชุมพรจะได้รับประโยชน์ด้วย
นอกจากนั้นยังมีการศึกษาการสร้างมอเตอร์เวย์ จากชุมพรถึงสุไหงโก-ลก ถือเป็นบิ๊กโปรเจ็กต์ที่มีทางเป็นไปได้ และเส้นทางเชื่อมระหว่างชุมพร-ระนอง จากราชกรูดของ จ.ระนอง มายัง อ.พะโต๊ะ และ อ.หลังสวน จ.ชุมพร ที่กำลังเร่งรัดการขยายถนนเป็น 4 ช่องทางจราจรตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป อะไรทำได้ก็ทำไปก่อนเลย อะไรที่ต้องศึกษา EIA ก็ศึกษาไป ไม่ใช่รอศึกษาทั้งหมดก่อนค่อยสร้างทีเดียว และยังมีโครงการก่อสร้างรถไฟสายชุมพร-ระนอง ระยะทาง 115 กม. ส่วนทางน้ำก็มีข้อเสนอการก่อสร้างท่าเรืออเนกประสงค์ เพื่อใช้สำหรับการท่องเที่ยวและขนส่งสินค้าที่เคยมีการศึกษาเอาไว้แล้ว ซึ่งภาคเอกชนชุมพรเสนอขึ้นมา โครงการเหล่านี้ไม่ได้มีผลต่อชุมพรจังหวัดเดียว แต่มีการเชื่อมโยงไปสู่จังหวัดต่างๆ ในภาคใต้ด้วย
อีก 1 โครงการของชุมพรคือ โครงการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในเขตเมืองชุมพรตามแนวพระราชดำริคือการขยายคลองชุมพรและขุดคลองผันน้ำพร้อมอาคารประกอบ ซึ่งอยู่ในแผนของกรมชลประทานแล้ว ซึ่งต้องใช้งบประมาณ 1,288 ล้านบาท คงต้องทยอยทำเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ได้ทำพร้อมกันทีเดียว และงบประมาณก็จะมาเป็นปีๆ ไป ถ้าโครงการนี้แล้วเสร็จน้ำจะไม่ท่วมแยกปฐมพรอีกต่อไป และพื้นที่ด้านล่างแถวคลองนาคราชก็จะหมดปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากเช่นเดียวกัน
สำหรับเรื่องการท่องเที่ยว จะมีการเสริมศักยภาพการดูแลนักท่องเที่ยว โดยขอเพิ่มระบบกล้องซีซีทีวีตามแหล่งท่องเที่ยวให้มากขึ้น ซึ่งตำรวจภูธรจังหวัดชุมพรจะเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนด้านการเกษตร จ.ชุมพร เป็นเมืองผลไม้ จะทำอย่างไรเพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผลไม้ชุมพร ปัจจุบันเรายังไม่มีการศึกษาเชิงวิชาการในเรื่องนี้ จึงจะมีการเชิญนักวิชาการจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ (สจล.ชุมพร) มาพัฒนาต้นแบบฟาร์มแม่นยำ (Precision Farming) หรือฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farm) นั่นคือจะทำอย่างไรให้เกษตรกรได้ผลผลิตที่มีความแม่นยำในการใช้เทคโนโลยี ทำให้มีประสิทธิภาพด้านการเกษตรสูง โดย สจล.ชุมพรจะเป็นผู้รับผิดชอบ ใช้งบประมาณ 45 ล้านบาท
ทั้งนี้ มูลค่าโดยรวมของโครงการต่างๆ ที่ชุมพรจะเสนอต่อที่ประชุม ครม.สัญจร คือ ประมาณ 1,400 ล้านบาท ส่วน ครม.สัญจรจะให้ความเห็นชอบอนุมัติหรือไม่ มากน้อยแค่ไหนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
จตุพจน์ ปิยัมปุตระ
ผู้ว่าฯระนอง
ในส่วนของพื้นที่ให้การต้อนรับของ จ.ระนองนั้นมีความพร้อมในทุกจุด และในส่วนของโครงการที่ทางจ.ระนอง ได้นำเสนอเพื่อของบประมาณนั้นมี 3 มิติใหญ่ๆ คือ เรื่องแรกการปรับปรุงถนนสายตำบลราช อ.เมืองระนอง เชื่อมโยงไป อ.พะโต๊ะ และ อ.หลังสวน จ.ชุมพร งบประมาณต่อเนื่องปี 2563-2566 วงเงินงบประมาณราว 2.9 พันล้านบาท ประเด็นที่ 2 เป็นการต่อยอด Wellness City หรือเมืองสุขภาพ ที่สอดรับกับยุทธศาสตร์ของจังหวัดโดยใช้น้ำแร่เป็นตัวตั้ง โดยจะขอสร้าง Sport Complex เป็นโรงยิม 1 พันที่นั่ง พร้อมเครื่องมือวิทยาศาสตร์การกีฬา ซึ่งจะไปสอดรับกับของท้องถิ่นเรื่อง area basee ที่ต้องการดำเนินการกีฬานำการท่องเที่ยวนะครับ ซึ่งก็จะไปชนกับยุทธศาสตร์จังหวัดเช่นกัน จะประกอบด้วยอุปกรณ์ทางการกีฬา มีการทดสอบสมรรถนะทางการกีฬา เพิ่มศักยภาพของนักกีฬา ถ้ามี Sport Complex เข้ามาแล้ว จ.ระนอง จะสามารถเป็นสถานที่ใช้เก็บตัวนักกีฬา ไม่ว่าจะระดับสโมสร ระดับชาติ ขณะเดียวกันก็สามารถดูแลฟื้นฟูสุขภาพนักกีฬาที่บาดเจ็บ หรือต้องการที่จะฟื้นฟูร่างกายหลังจากการแข่งขัน ซึ่งเรามีองค์ความรู้ทั้งเรื่องของการนวดปรับสมดุลร่างกาย นวดสปา ฝังเข็ม รวมไปถึงนวดรักษาโดยกดจุดฝ่าเท้า สิ่งเหล่านี้จะเป็นการเติมเต็มให้ครบวงจร
ในเรื่องสุดท้ายที่ จ.ระนอง นำเสนอเป็นโครงการเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ เพื่อความกินดีอยู่ดีของพี่น้องประชาชนและป้องกันอุทกภัย โดยนำเสนอขอปรับปรุงประสิทธิภาพอ่างเก็บน้ำคลองหาดส้มแป้น ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบให้ประชาชนในเขต อ.เมืองระนอง ซึ่งเมื่อมีการปรับปรุงสภาพแวดล้อม เพิ่มประสิทธิภาพของอ่างเก็บน้ำคลองหาดส้มแป้นแล้ว ก็สามารถทำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวได้อีกแหล่งหนึ่งด้วย นอกจากนี้ยังขอทำพนังกั้นน้ำที่บ้านน้ำจืด อ.กระบุรี เพื่อป้องกันอุทกภัยน้ำป่าไหลหลากซึ่งโดนเป็นประจำทุกปี อีกเรื่องคือการขอศึกษาทำอ่างเก็บน้ำที่บ้านทุ่งตาพล อ.ละอุ่น เพื่อการกักเก็บน้ำฝนที่น้ำไหลหลากลงมา แล้วจะเก็บไว้ใช้ช่วงขาดน้ำ เพื่อที่จะลดปัญหาเรื่องแล้งซ้ำซากในบริเวณพื้นที่นั้น ซึ่งรวมทุกโครงการแล้วใช้งบประมาณกว่า
3.5 พันล้านบาท
