การเมืองไทย ณ วันนี้วนเวียนอยู่กับ หนึ่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ และอีกหนึ่งคือการประชามติ
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัยมีปัญหาเรื่องลดความสำคัญของการเลือกตั้ง และให้ความสำคัญกับการสรรหาหรือแต่งตั้งมากขึ้น
ขณะที่การประชามติ ปัญหาอยู่ที่กฎหมายจัดทำประชามติ ที่มีลักษณะกีดกันมากกว่าเปิดกว้าง
ทั้งร่างรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประชามติ มีปัญหากับการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชน
ปัญหานี้นำไปสู่การท้าทาย และผลการตอบโต้การท้าทาย มักลงเอยที่การใช้กฎหมาย
แต่ใช่ว่ากฎหมายจะใช้แก้ปัญหาได้ทั้งหมด
บางทีการบังคับใช้กฎหมายอาจกลายเป็นปัญหาเสียเอง
โดยเฉพาะปัญหาทางการเมือง
ปัญหาเริ่มขึ้นเมื่อร่างรัฐธรรมนูญปรากฏต่อสายตาประชาชน หลังจากนั้นการแสดงความคิดเห็นก็เกิดขึ้น
การแสดงความคิดเห็นที่ปรากฏออกมาส่วนใหญ่คือไม่เห็นด้วย
กลุ่มการเมืองไม่เห็นด้วยกับคำถามพ่วง ไม่เห็นด้วยกับบทเฉพาะกาลที่ให้ ส.ว.มีส่วนเลือกนายกรัฐมนตรี
กระทั่งไม่เห็นด้วยทั้่งร่างที่ทำกันมา
กลุ่มการศึกษาไม่เห็นด้วยกับการตัดทอนสิทธิสนับสนุนการเรียนในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
และที่กลายเป็นข่าวครึกโครมคือ กลุ่มนักศึกษาที่ไม่เห็นด้วย และรณรงค์โนโหวตอีกด้วย
การแสดงความคิดเห็นดังกล่าวนำไปสู่การบังคับใช้กฎหมาย
กลุ่มพลเมืองโต้กลับ และนักศึกษาที่เคยเรียกร้องประชาธิปไตย ถูกควบคุมตัวในช่วงการรณรงค์
แล้วปล่อยตัวกลับ
นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทยโพสต์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญทางสังคมออนไลน์ กระทั่งเจ้าหน้าที่ทหารไปรอถึงบ้าน
รอเพื่อเชิญตัวไปแจ้งข้อหา…ขัดคำสั่ง คสช.
การบังคับใช้กฎหมายเริ่มกลายเป็นข้อบัญญัติที่ห้ามมิให้ใครเคลื่อนไหวเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ
ยิ่งกฎหมายประชามติที่ออกมา จวบจนบัดนี้ก็ยังมีการตีความอยู่เนืองๆ
ตีความว่า หลังประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้แล้ว เสียงคนในเมืองและชนบทจะต้องเงียบ
พล.อ.ประยุทธ์บอกว่า การรณรงค์ทุกอย่างทำไม่ได้
รับ-ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญให้ไปลงโหวตวันที่ 7 สิงหาคม
ถ้ารณรงค์ก่อนวันที่ 7 สิงหาคม…มีสิทธิติดคุก 10 ปี
ปัญหาของร่างรัฐธรรมนูญ และปัญหาของการประชามติจึงมีทิศทางเดียวกันคือ จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน
แต่เมื่อมี “แรงกิริยา” มาก “แรงปฏิกิริยา” ก็มากตามมาด้วย
พร้อมๆ กับความเข้มงวดของ คสช. บรรดาผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการเข้มงวดดังกล่าวก็ทยอยปรากฏตัว
นายวัฒนา เมืองสุข เป็นตัวอย่าง
กลุ่มพลเมืองโต้กลับ ก็เป็นตัวอย่าง
และเมื่อ คสช. รักษาคำสั่ง คสช. ด้วยการควบคุมตัว นำไปปรับทัศนคติ แม้กระทั่งนำขึ้นศาลทหารในข้อหาขัดคำสั่ง คสช.
ปฏิกิริยาที่ไม่เห็นด้วยเกิดขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ
กรณีลูกสาวนายวัฒนา ตระเวนยื่นหนังสือกับทูตสหรัฐอเมริกา สามารถประโคมข่าวให้โลกได้ยิน
ความเคลื่อนไหวของลูกสาวนายวัฒนา ส่งผลกระทบเชิงสิทธิมนุษยชนสูง
ยิ่งมีคำขอร้องจาก “คุณตา” ให้ลูกสาวนายวัฒนาไปต่างประเทศสักพัก ยิ่งกระพือข่าว “กดดัน” ออกมา
วันนี้ และวันต่อไป ประเทศไทยจะต้องตอบคำถามต่างประเทศอีกคำรบ
เพราะต่างประเทศที่เคยสงบนิ่งเริ่มขยับเขยื้อนอีกครั้ง
ขยับออกมาถามหาสิทธิเสรีภาพของคนไทย
แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะชี้แจงความจำเป็นที่ต้องกระทำเช่นนั้นว่า เนื่องเพราะต้องรักษากฎหมาย
แต่ดูเหมือนว่า กฎหมายในมุมมองของฝ่ายความมั่นคง กับมุมมองของฝ่ายมนุษยชนอาจจะไม่สอดคล้อง
คำสั่ง คสช. ที่ฝ่ายความมั่นคงมองเห็นว่าจำเป็นต้องมีเพื่อรักษาความสงบ อาจเป็นกลไกจำกัดสิทธิเสรีภาพในมุมมองของฝ่ายมนุษยชน
ยิ่งฝ่ายมนุษยชนในที่นี้หมายถึงโลกสากล
เท่ากับว่า มุมมองฝ่ายความมั่นคงของไทย อาจจะแย้งกับมุมมองของโลก
แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะกล่าวหาว่าคนชักใยเบื้องหลังความเคลื่อนไหวคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ คือ นายทักษิณ ชินวัตร
แต่หากลองทบทวนดูอีกครั้ง อาจพบว่า ปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่ใครทั้งนั้น
ปัญหาที่แท้จริงคือเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญ และเนื้อหาของกฎหมายประชามติ
ปัญหาที่แท้จริงคือการปิดกั้นขีดกรอบสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ดังนั้น ยิ่งใช้กฎหมายความมั่นคง เพื่อแก้ไขปัญหาการจำกัดสิทธิเสรีภาพ ….
ยิ่งส่งผลร้ายมากกว่าผลดี
เชื่อว่าปัญหานี้ คสช.รับทราบ เนื่องจากท่าทีอันเข้มแข็งในคราแรกที่คุมตัวนายวัฒนาไปไว้ในค่ายทหาร ได้เปลี่ยนไปสู่การนำตัวขึ้นศาลทหาร
แจ้งข้อหา-ฝากขัง จากนั้นขึ้นกับดุลพินิจของศาลทหารที่จะพิจารณา
ในที่สุดศาลอนุญาตให้ประกันตัวออกไป
เช่นเดียวกับกลุ่มพลเมืองโต้กลับ ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมตัวแล้วปล่อยกลับ
ท่าทีเช่นนี้แสดงว่า คสช. เข้าใจใน “แรงปฏิกิริยา”
การใช้ความเข้มงวดตามแนวทางของฝ่ายความมั่นคงกับกรณีเช่นนี้อาจจะส่งผลร้าย
การยึดแนวทาง “การเมือง” แก้ไขปัญหา น่าจะส่งผลดี
อย่างไรก็ตาม การใช้วิธี “การเมือง” แทนนั้นอาจจะผ่อนคลายปัญหาให้คลี่คลายลงไป แต่ไม่สามารถขจัดปัญหาให้หมด
ทั้งนี้เพราะปัญหามิได้อยู่ที่นายวัฒนา มิได้อยู่ที่กลุ่มพลเมืองโต้กลับ
แต่ปัญหาอยู่ที่เนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญและกฎหมายประชามติที่จำกัดสิทธิเสรีภาพมากเกินไป
เมื่อพบแก่นแท้ของปัญหาแล้ว คงไม่ยากหากคิดจะแก้ไข
แก้ปัญหา “การเมือง” ด้วยวิธีทาง “การเมือง”