พลันที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แถลงใน 3 เรื่อง คือ 1 จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ หมายเลข 1 และ 1 ประกาศไม่จับมือกับพรรคพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
ความแจ่มชัดในทางการเมืองก็เริ่มเกิดขึ้น
แถลงที่ตามมาก็คือ พรรคประชาธิปัตย์จะไม่เข้าร่วมประชุมที่ คสช.จัดขึ้นในวันที่ 7 มกราคม
“เพราะไม่เป็นประโยชน์”
เท่ากับชี้ชัดว่า พรรคประชาธิปัตย์เริ่มเอนมาทางเดียวกันกับ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคอนาคตใหม่ พรรคไทยรักษาชาติ
ตรงนี้จะมีผลต่อกระบวนการหาเสียงของ “ประชาธิปัตย์”
หากศึกษาเหตุผลที่พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ร่วมมือกับพรรคพลังประชารัฐในการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
นอกจากที่ว่า “เร็วเกินไป”
“เพราะไม่ใช่เวลาที่จะมาคุยเรื่องขั้วอำนาจสนับสนุนใคร แต่ต้องให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน”
แต่เหตุผลที่สำคัญยังเป็น
“แนวทางในการบริหารงานทั้งเศรษฐกิจ การโยกย้ายฝ่ายการเมืองและการรวมศูนย์อำนาจ มีแนวทางไม่สอดคล้องกับพรรคพลังประชารัฐ”
ประการหลังนี้แหละคือ สัญญาณ “รบ” ที่มีพรรคพลังประชารัฐเป็นตัวแทนอย่างสำคัญ
เมื่อลุย “พลังประชารัฐ” ก็เท่ากับลุย “คสช.”
โอกาสที่ คสช.และพรรคพลังประชารัฐจะกลายเป็นตำบลกระสุนตกในบรรยากาศแห่งการหาเสียงก่อนการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จึงเข้มข้น
เข้มข้นไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
แนวโน้มที่เด่นชัดเป็นอย่างมากก็คือ พรรคการเมืองใดที่ต้องการคะแนนเสียงจากประชาชนจะต้องเป็นพรรคที่สามารถวิพากษ์ต่อ คสช.และพรรคพลังประชารัฐได้อย่างหนักแน่น จริงจัง
ไม่เพียงแต่ซัดกันบุคคลต่อบุคคล หากแต่นโยบายต่อนโยบาย
นั่นคือ ทิศทางการหาเสียง ทิศทางการเมือง