‘สอท.’เปิดเวที5พรรคโชว์กึ๋น นวัตกรรมพัฒนาอุตไทย

หมายเหตุสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดเวทีสัมมนา หัวข้อ “ทิศทางอุตสาหกรรมไทย ในปี 2025 (Shaping Thai Industry 2025)” โดยเชิญตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย (พท.) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พรรคภูมิใจไทย (ภท.) และพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) มาเสนอนโยบายเกี่ยวกับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศ ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา เมื่อวันที่ 18 มีนาคม

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

แนวคิดนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ต้องสอดรับกัน เพื่อตอบโจทย์อย่างน้อย 5 ข้อที่เป็นความท้าทายของเศรษฐกิจไทย คือ 1.เรื่องเทคโนโลยี เป็นปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนธุรกิจบนโลก ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมของผู้ผลิตและผู้บริโภค หรือไม่ว่าจะเป็นในแง่ธุรกิจหรือการจัดองค์กรจะต้องมีการขับเคลื่อนไปพร้อมกัน 2.โลกาภิวัตน์-สงครามการค้า 3.กับดักรายได้ปานกลาง ซึ่งไทยจะต้องพัฒนาเรื่องนวัตกรรม เพื่อแข่งขันกับประเทศที่นำหน้าไทยไป 4.สังคมสูงวัย และ 5.เศรษฐกิจเหลื่อมล้ำ
ทั้งนี้ รวมไปถึงเรื่องการปฏิรูประบบราชการให้บริการประชาชนด้วยเทคโนโลยี ปรับปรุงกฎหมายที่ถ่วงภาครัฐ เชื่อว่าจะเพิ่มความโปร่งใสและทำให้ประชาชนเข้าถึงง่ายขึ้น
ทางพรรคจะนำเทคโนโลยีมาใช้ อย่างระบบ GovTech ควบคุมกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างทุกขั้นตอนให้มีความโปร่งใส รวมถึงเปิดเผยราคากลาง วิธีการคำนวณราคากลางออนไลน์ และเปิดเผยการเสียภาษีที่ดินออนไลน์ เพื่อให้ตรวจสอบได้เมื่อพบความผิดปกติ รวมถึงสนับสนุนให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือการยกระดับผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)
นอกจากนี้จะเน้นเรื่องอุตสาหกรรมสีเขียว ซึ่งเรามีการประกาศใช้รถยนต์ไฟฟ้า สนับสนุนเรื่องไม้เศรษฐกิจ ซึ่งจะตรงกับปฏิวัติเขียวอุตสาหกรรม 7 ประการ ได้แก่ การผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเป็น EV Global Supply chain, เกษตรอินทรีย์, อุตสาหกรรมชีวภาพ, บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, อุตสาหกรรมรถไฟ, การผลิตกระแสไฟฟ้าชีวมวล และการปลูกไม้เศรษฐกิจเชิงอุตสาหกรรม
ส่วนนโยบายด้านการศึกษา ขยายให้เรียนฟรีถึง ปวส. พร้อมรับประกันจบไปมีงานทำแน่นอน การเพิ่มเงินเดือนต้องมาพร้อมกับการเพิ่มทักษะให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจ
หากเข้ามาเป็นรัฐบาล สิ่งแรกที่จะช่วยเหลือคือกลุ่มเกษตรกร แรงงาน ลดความเหลื่อมล้ำ 3 ส่วนนี้จะช่วยเศรษฐกิจประเทศก่อน

สุวิทย์ เมษินทรีย์
รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)

Advertisement

นโยบายภาคอุตสาหกรรมของพรรค จะจัดทำนโยบายลดกับดักรายได้ปานกลาง และลดกับดักความเหลื่อมล้ำ รวมถึงการนำประเทศไปสู่ไทยแลนด์ 4.0
ส่วนเรื่องของการขับเคลื่อนเอสเอ็มอี ย้ำว่าเรื่องเมดอินไทยแลนด์ยังคงเป็นเรื่องที่สำคัญและต้องทำให้มีต่อไป และต้องประกาศให้ทั่วโลกรู้ว่าเราเป็นใคร ถึงเวลาแล้วที่ไทยจะต้องนำเมดอินไทยแลนด์มาขับเคลื่อนประเทศอีกครั้ง ไม่ใช่ขับเคลื่อนเพียงภาครัฐแต่ต้องช่วยกันทั้งภาครัฐและเอกชน และต้องมีความชัดเจนในเรื่องของอุตสาหกรรม มีหลายประเทศที่อยากเข้ามาทำธุรกิจในไทย เพราะมีคนอยากทำสตาร์ตอัพในไทย ขึ้นแท่นเป็นที่ 1 ในเอเชีย
ถ้าพรรคได้เป็นรัฐบาลจะทาบทามนาย
สุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อมาขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมให้มีความต่อเนื่อง และเชื่อในการทำงานว่าจะสามารถนำพาประเทศไปสู่ความเจริญได้
แผนการทำงานเร่งด่วนใน 100 วันแรกหลังเข้ารับตำแหน่ง ได้แก่ เร่งสร้างหลักประกันให้คนไทยและต่างชาติมั่นใจว่าประเทศไทยมีความมั่นคงและสงบสุขเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจตามมา
ส่วนเรื่องระยะสั้นจะทำพร้อมๆ กับระยะกลาง คือลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ขยายผลบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในส่วนที่ตกสำรวจ รวมทั้งหาโอกาสสร้างอาชีพเพิ่มรายได้ เดินหน้าจัดทำบิ๊กดาต้า เพื่อแก้ไขปัญหาลงลึกตอบโจทย์รายบุคคล
รวมทั้งแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ช่วยเหลือชาวนา โดยสนับสนุนค่าเก็บเกี่ยวจากไร่ละ 1,500 บาท เป็นไร่ละ 2,000 บาท และเพิ่มพื้นที่จากไม่เกิน 12 ไร่ เป็น 20 ไร่ต่อราย เพิ่มราคายางพาราเป็นกิโลกรัมละ 65 บาท เพิ่มผลผลิตภาคการเกษตรด้วยการสร้างสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ส่วนแรงงานจะเพิ่มทักษะเพื่อเพิ่มรายได้ ส่วนค่าจ้างที่เพิ่ม ภาคเอกชน โดยเฉพาะเอสเอ็มอีต้องอยู่ได้

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย (พท.)

นโยบายของพรรคในการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย ต้องขับเคลื่อนโดยแยกเป็น 4 ปัญหาที่ท้าทาย คือ 1.เรื่องสงครามการค้าจีนกับสหรัฐ 2.การลงทุนที่ต่ำ 3.แนวโน้มที่หุ่นยนต์จะเข้ามาทดแทนแรงงานในบางสาขา และ 4.แนวโน้มขาดแคลนแรงงาน
ก่อนที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศต้องปรับ 2 เรื่องหลักก่อน คือต้องปรับการบริหารราชการแผ่นดิน ที่ปัจจุบันทำงานแบบเอาราชการเป็นศูนย์กลาง ทำให้เอกชนต้องเคลื่อนตัวไปหา ถือเป็นบ่อเกิดของการคอร์รัปชั่น และ 2.การปราบคอร์รัปชั่นทุกระดับ
ส่วนยุทธศาสตร์ของพรรคจะเน้นเรื่องของการเร่งเจรจาการค้าต่างประเทศ, การกิโยตินกฎหมาย หรือการยกเลิกกฎหมายที่ไม่จำเป็นและล้าสมัย โดยมีเป้าหมายลดความซับซ้อนใช้เวลา 2 ปี ลดร่างกฎหมายจาก 1,500 ฉบับ ให้เหลือ 300 ฉบับ
รวมถึงการสร้างเทคโนโลยีชั้นสูง บิ๊กดาต้า ให้กับผู้ประกอบการเอสอ็มอี เน้นลดความเสี่ยงจากสงครามการค้า ให้ภาคอุตสาหกรรมไทยกำหนดตลาดส่งออกเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นลาว พม่า เวียดนามและจีน ที่มีความชื่นชอบสินค้าไทย รัฐต้องเร่งพัฒนาผู้ประกอบการเร่งทำผลผลิตส่งออกเพื่อสร้างรายได้
ทั้งนี้ ยังส่งเสริมกองทุนสำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในการนำไปพัฒนาคน พัฒนาแรงงานฝีมือ สร้างกระบวนการรองรับเทคโนโลยี
ส่วนทิศทางอุตสาหกรรมสุขภาพ พรรคได้วางนโยบายในการสนับสนุนเรื่องของการแพทย์ ด้านการผลิตยาและสมุนไพรไทย อย่างไรก็ตามพรรคจะไม่ยอมให้เอกชนขับเคลื่อนเพียงลำพัง
หากพรรคได้เป็นรัฐบาลสิ่งแรกที่จะทำคือ ทำในสิ่งที่ไม่ต้องรอการลงทุน ต้องสั่งรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ร่วมมือกันพัฒนาประเทศชาติ และต้องทำให้กฎหมายไทยไม่เป็นอุปสรรคในเรื่องการทำมาหากิน ใช้กฎหมายให้เป็นแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนใหม่ จะต้องปรับลดและปรับเปลี่ยนการทำงานของรัฐ ใครลดขั้นตอนการขออนุญาตลงจะมีรางวัลให้ ต้องวางแผนและปรับเปลี่ยนใหม่ทุก 3 ปี
ส่วนเรื่องของการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ทางพรรคมองว่าต้องปรับขึ้นตามทักษะ และไม่ควรขึ้นทันที ควรคำนึงถึงผลกระทบของภาคเอกชนประกอบด้วย

Advertisement

อนุทิน ชาญวีรกูล
หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.)

ที่มาเล่นการเมืองเพราะเบื่อกับคำว่าดุลพินิจ เพราะตอนที่ผมเป็นเอกชนเคยไปขอใบอนุญาต มีขั้นตอนยุ่งยาก ช่วงหนึ่งเคยไปทำเรื่องขอใบอนุญาตโรงงานไป แต่ไม่มีกำหนดเวลาว่าจะได้เมื่อไร ขณะที่มีลูกค้าสั่งสินค้ามาแล้ว แต่ไม่สามารถทำตามความต้องการได้ ต้องเสียลูกค้าไปอย่างน่าเสียดาย
จากเหตุผลดังกล่าวจึงอยากเข้ามาทำงานการเมืองที่จะสนับสนุนทุกเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและอุตสาหกรรม โครงการในเมืองไทยมากมาย ทางพรรคสนับสนุนให้ใช้ของไทย 2 ปีแรก สร้างฐานให้แน่นก่อน หลังจากมีรัฐบาลเลือกตั้งและจะผลักดันให้เกิดขึ้นอีก
เรื่องการปราบคอร์รัปชั่น พรรคจะลดโอกาสคอร์รัปชั่น โดยหัวหน้าพรรคขอเป็นผู้ที่ตีราคา เพื่อควบคุมการใช้เงินของรัฐบาล เราต้องเป็นเอกเทศ ไม่ต้องอิงจากรัฐมนตรีอุตสาหกรรม พรรคจะเอื้อสิทธิประโยชน์ทั่วประเทศ พรรคเชื่อกลุ่มทุน ลดอำนาจรัฐ ทลายทุกข้อจำกัด แก้ปัญหาปากท้อง
ในเรื่องของนวัตกรรม ไทยยังวนอยู่ที่เดิม โอกาสการเข้าสู่การระดมทุนยังยากอยู่ นอกจากนี้พรรคยังมีนโยบายที่ต้องการลดปัญหาเรื่องการจราจร โดยให้หยุดทำงานที่ออฟฟิศ เป็นทำงานที่บ้าน 1 วัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเช่าสำนักงานใหญ่ๆ ถ้าสามารถสนับสนุนธุรกิจสตาร์ตอัพได้ ประชาชนก็จะมีค่าใช้จ่ายอย่างเดียวคือเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนตัว เพราะจะประหยัดเรื่องการเดินทาง
ทางพรรคจะผลักดันให้เกิดสำนักงานครบวงจรทั่วประเทศ โดยจะใส่เทคโนโลยีลงไป เรื่องการเข้าถึงแหล่งทุน เมื่อเขาได้รับสิทธิประโยชน์ สนับสนุนธุรกิจสตาร์ตอัพใหม่ๆ โดยช่วยเหลือเรื่องภาษี เพื่อเอื้อต่อการลงทุน

พิจารณ์ เชาวพัฒนพงศ์
ผู้แทนพรรคอนาคตใหม่ (อนค.)

พรรคชูนโยบายคนไทยเท่าเทียม ประเทศไทยเท่าทัน ไทยต้องยอมรับแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรม การที่นำนักลงทุนต่างชาติเข้ามา เป็นความจริงที่ทำให้เติบโตทางจีดีพี แต่เราหวังให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งในตอนนี้เรายังไม่มีเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนโดยคนไทย ทางพรรคคิดว่าไทยต้องขับเคลื่อนอุตสาหกรรมที่ไม่มีซัพพลายเชน
อนาคตใหม่ของการเดินทางต้องเร็วกว่าและถูกกว่ารถไฟฟ้าความเร็วสูง ในปี 2573 จะสามารถเปิดเส้นทางเทคโนโลยีการเดินทางรูปแบบใหม่ คือไฮเปอร์ลูป เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ซึ่ง
ไฮเปอร์ลูปเป็นการเดินทางด้วยท่อแคปซูล มีราคาที่ถูกกว่า ตั้งเป้าว่าหากสร้างได้จริงภายใน 10 ปี จะสร้างมูลค่ากว่า 7 แสนล้านบาท เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ในอุตสาหกรรมรถไฟทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ เพิ่มงานอีก 1.8 แสนตำแหน่ง โดยจะนำไปตั้งที่ภาคอีสาน และจะเร่งพัฒนาทั้งรถไฟฟ้าและรถเมล์ไฟฟ้า ทำให้เกิดการค้าการลงทุน การเปิดให้ใช้ฐานข้อมูลเพื่อรู้ความต้องการเพิ่มโอกาสสร้างงาน สร้างธุรกิจ
พรรคมองอุตสาหกรรมที่มองถึงการออกแบบด้วย อาทิ สายไฟ หรือสายต่อพ่วง การออกแบบคือการออกแบบผลิตภัณฑ์ เราต้องสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นความตั้งใจของพรรค ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อหาเสียง แต่ทำมาเพื่อขับเคลื่อนให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้
ในเรื่องของนวัตกรรม การสร้างแบรนด์ ต้องใช้นวัตกรรมเป็นผู้ผลิต เพื่อเป็นเครื่องมือที่จะใช้ในการลงทุน การไปสู่โกลบอล มาร์เก็ตติ้ง โดยการผลักดันของภาครัฐ ถ้าเราไม่ปรับตัวด้วยนวัตกรรม ไทยก็ไม่สามารถอยู่ได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image