เสียงวิพากษ์‘กกต.’ ‘ไล่ฟ้องถูกวิจารณ์’

หมายเหตุความเห็นกรณีกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไล่ฟ้องหมิ่นประมาทภายหลังกลุ่มบุคคลหรือบุคคลออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงาน ทั้งการบริหารจัดการเลือกตั้ง การคิดคำนวณสูตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และการตรวจสอบการทุจริตการเลือกตั้ง

สดศรี สัตยธรรม
อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ กกต.จะไม่มีการฟ้อง เว้นแต่ว่าถูกหมิ่นประมาทด้วยการนำความเท็จมาพูด ซึ่งก็มีน้อยมาก ในช่วงที่ตัวเองเป็น กกต.ก็เคยฟ้อง แต่เมื่อใกล้หมดวาระก็ถอนคดีออกทั้งหมด เพราะลำพังคดีที่ กกต.ถูกฟ้องเองก็มีจำนวนมากและทำให้รู้สึกเหนื่อยพอแล้ว เช่น กรณีที่ผู้สมัคร ส.ส.บางคนแพ้เลือกตั้ง เขาก็มาฟ้อง กกต.ซึ่งเป็นกรรมการ แทนที่จะฟ้องคู่แข่งขัน ส่วนการที่ กกต.ไปฟ้องหมิ่นประมาทนักข่าว นักการเมือง หรือนักวิชาการ ถ้าเป็นเราคงไม่ทำ เพราะหากเขาพูดตามหลักวิชาการก็ถือเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ตามปกติ ทั้งนี้ การฟ้องร้องในอดีต จะเป็นกรณีที่มีการก่อม็อบและเอา กกต.ไปด่า ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของเสื้อแดงหรือเสื้อเหลือง กกต.ก็โดนตำหนิทั้งนั้น ดังนั้น กกต.ต้องมีใจหนักแน่น แม้บางคนเคยเป็นผู้พิพากษามาก่อน แต่เมื่อเปลี่ยนสถานะมาทำงานในฐานะองค์กรอิสระและเป็นบุคคลสาธารณะ กกต.ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ แม้แต่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ทุกวัน
เขาก็ยังไม่ฟ้องใคร เพราะไม่มีประโยชน์ อย่างไรก็ดี ถ้าวิพากษ์วิจารณ์ถึงขั้นเอาม็อบมายืนด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย แบบนั้นคงยอมไม่ได้

Advertisement

กกต.ชุดที่ผ่านมา มีการประชาสัมพันธ์และพบปะกับผู้สื่อข่าวมากกว่า กกต.ชุดปัจจุบันที่ส่วนใหญ่จะให้เลขาธิการ กกต.หรือรองเลขาฯเป็นฝ่ายออกมาพูด ในอดีต กกต.เคยมีวันนักข่าว เพื่อเปิดโอกาสให้ กกต.ได้ลงมาพูดคุย สร้างปฏิสัมพันธ์กับสื่อมวลชน ทำให้นักข่าวมอง กกต.เหมือนพี่น้อง ฉะนั้น เรื่องไหนที่ไม่เข้าใจ ก็ควรมาพูดคุยกัน ดีกว่าไปฟ้องร้อง เพราะการมีคดีกันระหว่าง กกต.กับบุคคลภายนอก ถือเป็นการเพิ่มภาระ เหมือนสาดน้ำมันเข้าไป แทนที่เรื่องจะจบกลับไม่จบ แต่ละคดีต้องใช้เวลานาน และมีหลายกระบวนการ เมื่อไปฟ้องหมิ่นประมาทใครก็ต้องมานั่งพิสูจน์กันอีก กกต.ก็ต้องไปหาหลักฐานมาสู้คดี ทำให้เกิดความไม่สบายใจและเหนื่อยมาก การสู้คดีในศาลไม่ใช่เรื่องที่มีความสุข ลำพังงานของ กกต.ก็มากมายอยู่แล้ว ต่อไปก็ต้องเจออะไรอีกเยอะแยะ จึงคิดว่ากรณีนี้ควรใช้การพูดคุยกัน เพราะผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ กกต. เขาไม่ได้บอกว่า กกต.เลวร้ายอะไร แต่เขาวิจารณ์ถึงความล่าช้า ซึ่งเป็นการวิจารณ์ทั่วไป กกต.ควรเชิญมาคุย แล้วถามถึงเรื่องที่นักข่าวหรือประชาชนยังข้องใจ เพราะการทำงานของ กกต.ต้องเกี่ยวข้องกับสื่อมวลชน

ส่วนกรณีที่นักศึกษาซึ่งเป็นแกนนำล่ารายชื่อถอดถอน กกต. ถูกหมายเรียกในข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาเช่นกันนั้น มองว่าบุคคลมีสิทธิในการถอดถอน กกต.อยู่แล้ว เช่นในมาตรา 234 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ให้อำนาจคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณาเรื่องการถอดถอนเจ้าหน้าที่และองค์กรอิสระทั้งหลาย ทั้งนี้ เรื่องการถอดถอน กกต.นั้น ฝ่าย กกต.สามารถอธิบายต่อสาธารณะได้ว่า กกต.ทำตามกฎหมาย เชื่อว่านักศึกษาเขาเข้าใจได้ และจนถึงขณะนี้ นักศึกษาก็ยังไม่ได้ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ดังนั้น แทนที่ กกต.จะเป็นศัตรูกับนักศึกษา ซึ่งอย่างไรเสีย เขาก็สู้เราไม่ได้ทั้งด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิ กกต.ควรให้ความเมตตา อดทน และสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน น่าจะเป็นเรื่องดีกว่า เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่พึงปฏิบัติ

อย่างไรก็ดี คิดว่าเรื่องนี้คงไม่กระทบกับผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหววิพากษ์วิจารณ์ กกต.อยู่ในขณะนี้ เพราะการที่เขาลงมาทำถึงขนาดนี้ สะท้อนว่าเขาไม่กลัว แต่ก็คงมีความไม่พอใจที่ กกต.ไปฟ้องเขา ตรงกันข้าม คนที่จะไม่สบายใจมากกว่าคือ กกต. เพราะต้องเตรียมพร้อมหลักฐานและพิสูจน์ความจริงกันในศาลอีกหลายขั้นตอน ดังนั้น น่าจะเรียกมาคุยกันดีกว่า จะเป็นเรื่องที่ดีกับ กกต.เอง

Advertisement

โคทม อารียา
นักวิชาการด้านสันติวิธี

ไม่รู้ว่าจุดที่ กกต.รู้สึกรับไม่ได้คือตรงไหน ควรมีคำอธิบายว่าข้อความไหนหมิ่นประมาท ไม่ใช่แค่การไปล่ารายชื่อคือการหมิ่นประมาท ต้องมีรายละเอียดว่า นาย ก. ไปทำอะไร ไปเผยแพร่ข้อความอะไร อย่างไร ทำให้เกิดความเสื่อมเสียจริงหรือเปล่า หรือเป็นการแสดงความเห็นในเชิงสาธารณะต่อการปฏิบัติงานของหน่วยงานสาธารณะ

ประเด็นนี้มองว่าทำให้มันเป็นเรื่องปกติไปก่อนได้หรือไม่ การรวบรวมรายชื่อถอดถอน กกต. เป็นกิจกรรมนักศึกษา จะมีกิจกรรมอะไรก็ไม่ได้ไปกระทบต่อองค์กร องค์กรมีทั้งคนวิจารณ์ มีทั้งคนต่อว่าต่อขาน ก็ต้องให้นักกฎหมายไปดูว่าเข้าข่ายทำให้เสียชื่อเสียงหรือเปล่า หรือเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ตามความเข้าใจ หรือตามความคิดเห็นของแต่ละคน ถ้าไปดำเนินคดีความก็เหมือนอยากไปปิดกั้นเสรีภาพการแสดงออกของนักศึกษา หรือมองอีกทางหนึ่งก็คือ มันมีคล้ายๆ ข้อความอะไรที่เป็นการกล่าวหาให้เสียชื่อเสียงอย่างชัดเจน แต่ถ้าเป็นการวิจารณ์การทำงานเฉยๆ ก็ไม่น่าจะมีประเด็นไปถึงการทำให้เสียชื่อเสียงหรือหมิ่นประมาท กกต.ต้องออกมาชี้แจง ถ้านักศึกษารณรงค์ขอรายชื่อถอดถอน ไม่ได้ระบุว่าทำความเสื่อมเสียงชื่อเสียงประเด็นไหน โดยเฉพาะ เป็นเรื่องกว้างๆ ไม่ใช่หรือ ควรปล่อยให้นักศึกษาแสดงออกไปน่าจะดี

เรื่องหลักการที่องค์กรอิสระจะมาฟ้องร้องประชาชน ไม่ได้มีเขียนไว้ที่ไหน กกต.เป็นองค์กร เป็นนิติบุคคล ถ้ารู้สึกว่าถูกละเมิดสิทธิก็มีสิทธิป้องกันตัวเอง ถ้าถูกป้ายสี คิดว่าไม่ได้มีกฎหมายอะไรห้ามไว้ในด้านหนึ่งด้านใด แต่คิดว่าควรทำให้เป็นเรื่องธรรมดา ให้เป็นเรื่องเล็ก เรื่องธรรมดาดีที่สุด อย่าทำให้เป็นทางตรงกันข้าม กกต.ถอยดีกว่า ยิ่งมาทำเรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่ความคาดหวังหรือการทำหน้าที่โดยตรงของ กกต.

ตอนนี้สังคมมีลักษณะความสับสน แต่ละคนต้องบอกว่า เราเป็นคนดี เราเป็นคนถูก อีกฝ่ายทำไม่ถูก มันก็ไปกันใหญ่ มีลักษณะการต่อความยาวสาวความยืด น.ศ.เชื่อว่าตัวเองถูกรุก กกต.เชื่อว่าตัวเองถูกรุก ก็โต้กลับกันไปมา ลักษณะความขัดแย้งจึงยกระดับไปเรื่อยๆ ซึ่งไม่ควร ควรจะใจเย็น เมตตา ปล่อยให้เสรีภาพดำเนินไป ไม่ให้มีความรุนแรง ขอให้อยู่ในขอบเขตสันติวิธี

ยอดพล เทพสิทธา
คณะนิติศาสตร์ ม.นเรศวร

รัฐธรรมนูญ 40, 50 มีกลไกการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระทางการเมือง ไม่แน่ใจว่ารัฐธรรมนูญ 60 มีหรือไม่ ถ้าไม่มีจริงๆ การล่ารายชื่อถอดถอน กกต.ก็เป็นสิทธิของประชาชนในการมีส่วนร่วมการตรวจสอบอำนาจรัฐ ไม่มีระบบประชาธิปไตยแบบไหนในโลกที่ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนตรวจสอบอำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐ จึงมองว่าถ้าการเข้าชื่อเพื่อถอดถอน กกต. เป็นความผิดที่ทำให้องค์กรเสียหาย คิดว่าดูแปลกๆ คำว่าองค์กรเสียหาย ยังรู้สึกงงว่าไปแจ้งความในฐานะอะไร ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงก็ไม่ใช่ เพราะเป็นเรื่องประโยชน์สาธารณะ คิดว่าเป็นสิทธิของประชาชนที่สามารถทำได้   ไม่เช่นนั้นเจ้าหน้าที่รัฐจะทำอะไรก็ได้

ตอนนี้ประเทศไทยมีความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นมาแล้ว หลังจากการเลือกตั้ง มีหลายเหตุการณ์ สูตรการคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ก็เพิ่งออก การทำแบบนี้ยิ่งเป็นการราดน้ำมันเข้ากองไฟกองใหญ่ๆ ไม่เป็นผลดีหากประชาชนวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วเจ้าหน้าที่รัฐบอก ถ้าอย่างนั้นฟ้องนะอย่างนี้ประหลาด เหมือนเป็นการเอากฎหมายมาข่มขู่ประชาชน มองว่าเป็นการแจ้งความเพื่อปราม ประชาชนแค่ใช้สิทธิ ไม่ได้ไปกล่าวหาว่า กกต.ทำงานโดยทุจริต แค่มีข้อสงสัยในกระบวนการทำงาน เป็นลักษณะของการตั้งคำถาม ถ้าจะผิดถึงขนาดโดนแจ้งความดำเนินคดี คิดว่าเปราะบางเกินไปแล้ว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image