กรณีคนร้าย 4 คน รุมทำร้ายนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ “จ่านิว” นักกิจกรรมทางการเมือง โดยล้อมกรอบ ใช้กระบองไล่ตามตีอย่างรุนแรง จนนายสิรวิชญ์อาการสาหัส เป็นกรณีอุกอาจกลางเมือง มีประชาชนเห็นเหตุการณ์จำนวนมาก เป็นการเย้ยกฎหมาย สังคมตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะเป็นเรื่องการเมือง ใช้อำนาจมืดข่มขู่ผู้เห็นต่าง ก่อนหน้านี้มีนักกิจกรรมโดนทำร้ายมาแล้ว 11 กรณี แต่เจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถจับกุมได้แม้แต่คดีเดียว
เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เดินทางมาประชุมคดี โดยมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่และเจ้าของท้องที่ กก.น.3 อันเป็นพื้นที่เกิดเหตุ ร่วมประชุมอย่างพร้อมหน้า ใช้เวลาประชุมกว่า 2 ชั่วโมง โดยทาง ผบ.ตร.ได้ชี้แจงผลการประชุมต่อทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมด้วย และให้สัมภาษณ์ว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้กำชับตนให้ความเป็นธรรม จับคนร้ายให้ได้ และให้รายงานเป็นระยะ ทั้งนี้ ขอให้ตำรวจได้ทำงาน เหตุเกิดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคดีอะไรต้องจับคนร้ายให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นสีไหนหรือใครก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่ขอให้ตำรวจทำงานสักระยะ เหตุเพิ่งเกิดได้ 2 วันเท่านั้น
สำหรับแนวทางการสอบสวน ผบ.ตร.เผยว่า จะนำคดีเก่าที่ห้วยขวางมาพิจารณาหาความเชื่อมโยง ส่วนมูลเหตุคดีนี้ตัดเรื่องประสงค์ทรัพย์ได้เลย เพราะจ่านิวไม่ได้มีทรัพย์สิน อื่นๆ โดยตำรวจจะดูประเด็นเรื่องส่วนตัวและประเด็นการเมือง และจะไม่ตัดประเด็นอื่นๆ ทิ้ง ขณะนี้ ตอนนี้ไล่เช็กวงจรปิด ตรวจสอบอาวุธทั้งหมด ส่วนใครจะพูดว่าคดีลักษณะนี้เกิดขึ้นแล้วเรียกร้องว่าจับไม่ได้ให้ลาออก ตนได้ยินแล้ว ก็ต้องทำใจ ใครจะพูดอะไรก็ได้ แต่ตำรวจไม่หยุดทำงาน เพราะคดีมีความยากง่ายไม่เหมือนกัน
การเมืองไทยกำลังกลับสู่สภาพปกติ มีการเลือกตั้ง มีนายกฯจากกระบวนการของรัฐสภา แม้จะเป็นลักษณะของการสืบทอดอำนาจ และใช้กฎหมายที่ดีไซน์มาเป็นพิเศษ แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงกับระบบปกติมากขึ้น การใช้อำนาจมืด หรืออำนาจพิเศษ ข่มขู่คุกคามทำร้ายผู้เห็นต่างควรยุติได้แล้ว ที่สำคัญ สังคมไทยเชื่อว่าตำรวจไทยมีศักยภาพที่จะทำงานอย่างตรงไปตรงมา ขณะที่พยานหลักฐานคดีนี้มีมากพอ เพียงแต่ว่าอำนาจทางการเมืองที่อยู่เหนือตำรวจ จะยินยอมให้ตำรวจทำงานตรงไปตรงมาหรือไม่ หรือจะให้ผ่านๆ ไปเหมือน 11 คดีก่อนหน้านี้
