หากติดตามท่าทีของรัฐบาลต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ จะพบว่าทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ล้วนยอมรับว่า “ไม่ดี”
มาตรการทุ่มเงินงบประมาณ 100,000 ล้านบาท และเงินให้ยืมอีก 200,000 ล้านบาท แจกให้ประชาชนเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อแบบเร่งด่วน เพื่อหาทางชะลอวิกฤตให้ยืดเวลาออกไป พอที่จะคิดโครงการมาเยียวยา
เป้าหมายของการแก้ไขคือหาทางให้รายได้จากการส่งออก และจากการท่องเที่ยว ซึ่งอยู่ในภาวะทรุดตัวอย่างหนักสามารถพลิกขึ้นมาได้บ้าง
ทีมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศเองว่าจะนั่งหัวโต๊ะแทนนายสมคิด มีภาระเร่งด่วนที่จะต้องหาทางเยียวยารายได้ของประเทศ
ประเทศที่เคลื่อนไปในโลกทุนนิยมเสรี สำหรับทีมเศรษฐกิจการมุ่งไปที่เพิ่มรายได้คือความจำเป็น
เพียงแต่ว่าประเทศไม่ได้มีด้านเดียว นอกจากการต้องหารายได้แล้ว การรักษาความเรียบร้อย ดูแลความมั่นคง เป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้
ในมาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่รายได้จากการท่องเที่ยวเป็นตัวแปรสำคัญ
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แถลงถึงมาตรการที่เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณามาตรการ “ยกเว้นวีซ่า” แก่นักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย เพื่อประคองไม่ให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง อันเป็นผลต่อรายได้ของประเทศ
แต่ทันทีที่กระทรวงการต่างประเทศรับทราบ ได้ผลักดันให้ นายดอน ปรมัตถ์วินัย ออกมาแถลงคัดค้าน โดยเหตุผลเรื่องความมั่นคง
พร้อมชี้ให้ไป “พัฒนาเครื่องมือรองรับการท่องเที่ยวในประเทศให้มีความพร้อมที่จะรับมือจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น โดยไม่กระทบต่อความมั่นคงและสิ่งแวดล้อม”
ทั้งที่ “นายพิพัฒน์” แถลงนั้นยืนยันหนักแน่นว่า “ได้หารือเบื้องต้น” กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีแล้ว
“ทั้งสองท่านไม่ขัดข้อง”
ที่สุดคณะรัฐมนตรีมีมติไม่เอาด้วยกับ “กระทรวงการท่องเที่ยวฯ”
มองเผินๆ เรื่องนี้เหมือนไม่มีอะไร
แต่หากมองให้ลึกลงไป ย่อมสัมผัสได้ว่า การคิดมาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบรับมือวิกฤตเฉพาะหน้า ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับรัฐบาลชุดนี้ ที่แน่นความมั่นคง
เมื่อทุกการหาเงินต้องอาศัยการลงทุน และความเสี่ยงต่อความมั่นคงเป็นต้นทุนอย่างหนึ่ง
สองภารกิจที่เกิดแรงต้านต่อกันและกัน เป็นสภาวะที่น่าสนใจยิ่งว่า
ภายใต้แรงกดดันที่จะหลีกเลี่ยงวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่นี้
รัฐบาลจะทำอะไรได้มากกว่า แค่แจกเงินประชาชนเพื่อประคับประคองกำลังซื้อหรือไม่