ขณะที่ กอ.รมน.เล่นงาน 9 นักการเมือง 2 นักวิชาการ กับ 1 ผู้ดำเนินการเสวนา ณ ลานวัฒนธรรมปัตตานี ด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116
51 ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ รุกอย่างเข้มข้น
นั่นก็คือ ยื่นต่อประธานรัฐสภาให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพ 6 ส.ส. จากพรรคร่วม
ฝ่ายค้านให้สิ้นสุดลง
ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 และมาตรา 185 (1)
จากกรณีจัดสัมมนาแก้ไขรัฐธรรมนูญในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยได้มีการพูดถึงการแก้ไขในมาตรา 1 ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไม่ควร
รวมถึงกรณีการใช้อำนาจหน้าที่การเป็น ส.ส.เข้าไปแทรกแซงการทำงานของ กอ.รมน.
เป้าหมายไม่ว่ากรณี 5 ส.ส.ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค หรือ 1 ส.ส.ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการ ล้วนเพื่อปกป้องการทำงานของ กอ.รมน. และโดยเฉพาะ พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ
ปกป้องราวกับเป็น “ไข่ในหิน”
จาก 2 ตัวอย่างนี้ ไม่ว่าจะมองผ่าน กอ.รมน. อันมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้อำนวยการ อยู่ในฐานะผู้บัญชาการสูงสุด
ไม่ว่าจะมองผ่านบทบาทของ ส.ส.
เมื่อเป็น ส.ส.พรรคพลังประชารัฐอันมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ เมื่อทุกอย่างล้วนโยงไปยังนายกรัฐมนตรี
ทุกอย่างล้วนสัมพันธ์กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าทางตรง ไม่ว่าทางอ้อม
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า 1 รัฐธรรมนูญแตะไม่ได้ 1 บทบาทของ กอ.รมน.อันถือว่าเป็นกลไกของรัฐในด้านความมั่นคง และ 1 ส.ส.
ล้วนดำเนินไปอย่างยึดโยง สัมพันธ์กัน
ประเด็นอยู่ที่ว่า ไม่ว่ามองผ่านประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ไม่ว่ามองผ่านการเล่นถึงระดับให้สิ้นสมาชิกภาพ ส.ส.
ดุดัน รุนแรง แข็งกร้าว
ชี้ชัดว่า กระบวนการต่อสู้ในทางการเมืองมิได้เป็นเรื่องในแบบที่จะถลาลอยลมไปในทุ่ง “ลาเวนเดอร์” อันสวยสดงดงาม
ตรงกันข้าม มีการออก “อาวุธ” เต็มที่
ยิ่งหากสดับตรับฟังความเห็นของ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐบางคนที่ทำนายบทบาทของฝ่ายค้านว่าอาจจะต้องเดินตามรอย นายทักษิณ ชินวัตร
นั่นก็คือ ไม่มีแผ่นดินจะอยู่
เท่ากับว่า เพียงแต่ 7 พรรคร่วมฝ่ายค้านจัดเวทีเสวนาก็กลายเป็นประเด็น รุกไล่ถึงระดับที่เห็นว่าจะเปลี่ยนรูปแบบการปกครอง
ไม่ยอมให้แตะ “รัฐธรรมนูญ” ไม่ยอมให้แตะ “กอ.รมน.”
หากจินตนาการว่าระหว่างการประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 หากมีการแตะไปยังงบกระทรวงกลาโหม อะไรจะเกิดขึ้น อะไรจะตามมา
แค่ “คิด” ก็สยองใน “หัวใจ”
ที่เคยมีการพูดถึงเรื่องปรองดอง สมานฉันท์ สร้างความเป็นมิตรและไมตรีระหว่างกันดูเหมือนจะไม่ใช่อีกแล้ว ตรงกันข้าม จะยิ่งทวีความดุเดือด
ดุเดือดในแบบเอาเป็น เอาตาย
บรรดานักการเมืองรุ่นเก่าที่อยู่ในพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ อาจไม่หวั่นไหวอะไรมากนัก แต่ที่เพิ่งมาใหม่อย่างพรรคอนาคตใหม่ บางทีอาจต้องปรับความคิด
เพราะนี่คือการต่อสู้ เพราะนี่คือสงคราม