เดิมพันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำมา “ต่อรอง” เพื่อขัดขวางต่อญัตติจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบจากประกาศคำสั่ง คสช.และคำสั่งหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 ครั้งนี้สูงอย่างยิ่ง
สูงถึงขั้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องทอดตัวลงมาแสดงการเป็น “เจ้าภาพ”
สูงถึงขั้นเอา “เครดิต” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาการันตี
ขณะเดียวกัน ก็ระดมเอาพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย มาเป็นฐานรองรับกับการหายใจอีกเฮือกหนึ่งของพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะแกนนำรัฐบาล
กระนั้น เดิมพันนี้ก็ยังต้องขึ้นอยู่กับจังหวะก้าว 2 จังหวะ นั่นก็คือ 1 จังหวะก้าวองค์ประชุม 1 จังหวะก้าวการลงมติใหม่
หากผ่านด่าน “องค์ประชุม” ก็ต้องเจอด่าน “การลงมติ”
จากการประเมิน “น้ำเสียง” มีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะสามารถระดมเสียงเพื่อให้ “องค์ประชุม” บรรลุได้ตามคำยืนยันด้วยความมั่นใจจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
อย่างน้อยเสียงจาก 1 ใน 6 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ก็พร้อมที่จะเข้าร่วมประชุม
แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นจาก 2 ปมอย่างมีนัยสำคัญ
ปม 1 อยู่ที่ว่าการนับคะแนนใหม่จะเป็นการนับอย่างไร นับจากพื้นฐานการลงมติเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน หรือจะเป็นการนับจากการลงมติใหม่ในวันที่ 4 ธันวาคม
ปม 1 ในเมื่อ 6 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันที่จะลงมติเหมือนที่เคยลงมาแล้วในวันที่ 27 พฤศจิกายน ผลต่างระหว่างฝ่ายเห็นชอบกับฝ่ายที่ไม่เห็นชอบก็หวาดเสียวอย่างยิ่ง
นี่ย่อมเป็นสัญญาณ “อันตราย” และละเอียดอ่อนยิ่งทางการเมือง
มีความเป็นไปได้ว่า พรรคร่วมรัฐบาลยังต้องการเป็นรัฐบาลต่อไปอีก ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย
เพราะเวลาเพียง 4 เดือนยังสั้นและเร็วเกินไปต่อการตัดสินใจ
ไม่ว่าจะเป็นเพราะยังขับเคลื่อน “นโยบาย” อะไรได้อย่างเป็นชิ้นเป็นอัน
ไม่ว่าจะเป็นเพราะเพิ่งผ่าน “การเลือกตั้ง” มาไม่กี่เดือน
กระนั้น สัญญาณนี้ก็เตือนให้ตระหนักว่า ด่านหินอีกด่านคือด่านญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ
นั่นแหละที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องหืดระบมคอ