เรื่องราวของ “อนาคตใหม่” ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ลงมติส่งเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคหมาดๆ ต้องยอมรับกันว่าก่อกระแสทางการเมืองสูงยิ่ง
การชี้ความผิดเรื่อง “เงินกู้ 191 ล้านบาท” ที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ให้กับ “พรรค” ว่าเป็นความผิด โดยไม่มีคำอธิบายเหตุผลจาก กกต. เป็นเรื่องที่ก่อความเชื่อว่าเป็น “ใบสั่ง” อันส่งผลต่อความไม่พอใจของคนที่มีจิตสำนึกรับไม่ได้กับการใช้อำนาจโดยไม่ยืนอยู่ในเหตุผล
โลกที่สื่อสารกันรวดเร็วด้วยเครื่องมือออนไลน์จึงระงมด้วยเสียงของความไม่พอใจ
ความไม่พอใจที่ขยายวงกว้างออกไป แม้จะยังมองไม่เห็นว่าจะมีฤทธิ์เดชอะไรไปสร้างความกระทบกระเทือนให้กับการใช้อำนาจ
ซ้ำยังมีการประเมินว่าหากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบจริงน่าจะส่งผลดีต่อ “ผู้มีอำนาจ” ด้วยจะทำให้รัฐบาลพ้นจากสภาวะ “เสียงปริ่มน้ำ” และ “การตรวจสอบงบประมาณของกองทัพ” ที่ พ.ร.บ.กำลังจะเข้าพิจารณาวาระ 3 ในสภาลดปัญหาลงไปไม่น้อย
แต่ต้องยอมรับว่ารัฐบาลจะอยู่ในสภาพวิกฤตศรัทธาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แม้จะไม่มีใครทำอะไรได้ ทว่าท่าทีของประชาชนต่อรัฐบาลจะไปในทางไม่ยอมรับเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อสภาวะ “แห้งตายทางศรัทธา”
ซึ่งที่สุดแล้ว ความไม่เชื่อมั่น ไม่ศรัทธาของประชาชน จะสร้างความเสียหายต่อการทำงานของรัฐบาลโดยรวม
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าผู้ที่ออกมาแสดงความคิดความเห็นในโลกออนไลน์ ใช่ว่าจะไม่มีในมุมที่ชี้ให้มองในทางว่าชะตากรรมของ “อนาคตใหม่” เป็นเรื่องปกติ ที่จะต้องยอมรับ
ในแนวทางนี้ที่โดดเด่น จนมีการเอาไปอ้าง ไปขยายความกันไม่น้อยคือ
ความเห็นของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
อดีตเจ้าพ่อธุรกิจอาบอบนวด ที่ช่วงหลังเปลี่ยนบทบาทด้วยการอาศัยวิชาการตลาดที่เชี่ยวชาญมาทำงานการเมือง แสดงความเห็นในเฟซบุ๊ก ด้วยเหตุผลที่ติดตามแล้วก่อมุมมองว่า
“ธนาธร” ใช้วิธีคิดแบบธุรกิจมาทำงานการเมือง หรือชี้ให้เห็นว่าเป็น “ฝ่ายค้าน” ย่อมชะตากรรมเช่นนั้น ชี้นำให้กรรมการบริหารทำใจที่จะต้องมีการยุบพรรค และหมดโอกาสในบทบาทการเมือง
ท่ามกลางการปลุกให้สู้กับความไม่เป็นธรรมของกระแสอีกฝ่าย
โดยชี้ให้เห็นความไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม อันไม่ควรยอมจำนน จะต้องสู้เพื่อหาทางปกป้องคุณธรรมไว้
“ชูวิทย์” เลือกที่เสนอแนะในทางให้ยอมจำนวน เพราะชะตากรรมของฝ่ายค้านในยุคสมัยเช่นนี้ต้องเป็นเช่นนี้ ชี้ให้เห็นว่าความไม่ชอบธรรมเป็นเรื่องปกติ
เสนอมุมมองในเชิงอย่าไปหาเรื่องสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง
และค่อนข้างได้ผล เพราะคนจำนวนไม่น้อย บางคนเป็นผู้มีชื่อเสียงและมีบทบาทในการชี้นำสังคม พยายามขยายวิธีคิดแบบชีวิตออกไป
เลือกที่จะไม่พูดถึง “สำนึกของความไม่ยอมจำนน” ซึ่งบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์โลกใช้เพื่อสร้างต่อสู้กับความไม่ยุติธรรม และเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นไปในทางที่ดีมาทุกยุค ทุกสมัย