เหมือนกับว่าการประชุมใหญ่พรรคพลังประชารัฐในวันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม จะดำเนินไปด้วยความราบรื่นอันสะท้อนก้าวที่สำคัญอีกก้าวหนึ่ง
สัมผัสได้จาก “กระแส” และ “แนวโน้ม”
นั่นก็คือ การเคลื่อนไหวซึ่งสะท้อนความพยายามที่จะเปลี่ยนตัว “เลขาธิการพรรค” จาก นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ไปเป็นคนอื่น
ทุกอย่างดูจะ “ราบรื่น”
ไม่ว่า นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค ไม่ว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น ประธาน ส.ส.พรรค หรือแม้กระทั่ง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค
ก็ออกมา “ยอมรับ” ราวกับเป็นเรื่อง “ปกติ”
คนนอกสัมผัสได้เพียงบางกระแสที่มีคนระดับ “รองนายกรัฐมนตรี” ไม่เห็นด้วย คนนอกสัมผัสได้เพียงบางกระแสที่มีคนระดับ “ประธานยุทธศาสตร์พรรค” เห็นด้วย
ยังไม่มีใคร “กล้า” แสดง “ปฏิกิริยา” โดยตรง
ต้องยอมรับว่าภายในพรรคพลังประชารัฐนั้นประกอบขึ้นด้วย 3 กลุุ่มใหญ่ 1 เป็นกลุ่ม “สี่ยอดกุมาร”
อันส่งมาจากทำเนียบรัฐบาล
1 เป็นกลุ่ม กปปส.จากพรรคประชาธิปัตย์
1 เป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวอย่างคึกคักตั้งแต่เดือนเมษายน 2561 ในนาม “กลุ่มสามมิตร” ซึ่งมี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นผู้นำ
ทั้ง 3 กลุ่มนี้จิตหนึ่งใจเดียวเพื่อ “คสช.”
ความหมายก็คือ อาศัยทุกกลไกที่ คสช.จัดวางไว้เพื่อสานเจตนารมณ์ในการ “สืบทอดอำนาจ” ให้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ความหมายก็คือมี “นาย” คนเดียวกัน
ถามว่าแม้จะว่าเป็นการทำทุกอย่างเพื่อสนองให้กับ “นาย” คนเดียวกัน นั่นก็คือ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้อยู่ในอำนาจต่อไป ทั้ง 3 กลุ่มนี้รักใคร่อย่างเป็นเนื้อเดียวกันหรือไม่
น่าแคลงคลาง น่ากังขา
รูปธรรม 1 ซึ่งสำคัญเป็นอย่างมาก คือ การช่วงชิงกันอยู่ในลำดับของบัญชีรายชื่อ ปรากฏว่าอันดับ 1 มิใช่
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
หากแต่เป็น นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีต กปปส.จากพรรคประชาธิปัตย์
รูปธรรม 1 ซึ่งสำคัญเป็นอย่างมากคือ การช่วงชิงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ไม่ว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่ว่า นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ล้วนปรารถนา
หากแต่เป็น นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ที่ได้ไป
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ต้องไปอยู่กระทรวงศึกษาธิการ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ต้องไปอยู่กระทรวงอุตสาหกรรม
ขณะที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ต้องไปอยู่กระทรวงยุติธรรม
สภาพการณ์ขณะนี้เด่นชัดว่ากลุ่มของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ต้องการรุกเข้าไปยึดตำแหน่งเลขาธิการพรรคจาก นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์
ถามว่ากลุ่ม นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ เห็นด้วยหรือไม่
กระแสข่าวที่อ้าง “รองนายกรัฐมนตรี” นั่นแหละคือสภาพความเป็นจริงอันดำรงอยู่ภายในพรรคพลังประชารัฐว่าเป็นอย่างไร
ความเป็นจริงนี้คือ ความขัดแย้ง
หาก “รองนายกรัฐมนตรี” ไม่สามารถตกลงกันได้โดยราบรื่น กระทั่งเรื่องไปถึง “นายกรัฐมนตรี” นั่นแหละสภาพการณ์อาจบานปลาย
บานปลายกลายเป็น “มรสุม” ระลอกใหม่
