ท่าทีอันมาจาก 1 ภาคธุรกิจ โรงแรม การท่องเที่ยว ตั้งข้อสังเกตถึงการชักหัวคิวจากมาตรการกักกันตัวบุคคลในห้วงแห่งโควิด-19
เมื่อประสานกับ 1 ภาคธุรกิจการเงิน ต่อการฟื้นฟู “การบินไทย”
เหมือนกับเป็นคนละกรณี เหมือนกับเป็นคนละเรื่อง แต่ในที่สุดแล้วก็เป็นผลสะเทือนจากมาตรการ “เข้ม” ในห้วงแห่งสถานการณ์ “ฉุกเฉิน”
ปลายทางของน้ำเสียงนี้หมายถึง “ทหาร”
ในกรณีการฟื้นฟู “การบินไทย”ถึงกับระบุออกมาจาก “เจ้าหนี้” เลยว่าไม่ควรแต่งตั้ง “ทหาร” ให้เข้ามามีบทบาท
เพราะ “ทหาร” คือฝันร้ายในแวดวง “ธุรกิจ”
ในกรณีการกิน “หัวคิว” ต่อแต่ละโรงแรมที่ถูกดึงเข้ามามีส่วนในการกักกันบุคคลเป็นเวลา 14 วัน ล้วนเป็น
การดำเนินการโดย “กองทัพ”
ทหารและกองทัพกำลังกลายเป็น “ตำบลกระสุนตก”
พลันที่ความเสื่อมทรุด ตกต่ำปรากฏผ่านตัวเลขกำไร ขาดทุนของ “การบินไทย” ความรู้สึกร่วมประการหนึ่งก็คือ เพราะ “การบินไทย” อยู่ในมือ “ทหาร” มายาวนาน
สภาพจึงเหมือนกับการรถไฟ จึงเหมือนกับการท่าเรือ
เพราะนับแต่รัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นต้นมา เมื่อมีการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจก็มักจะบริหารจัดการโดยทหาร
รถไฟก็กองทัพบก การท่าของทหารเรือ การบินไทยก็ทหารอากาศ
เพราะว่าการรถไฟมิได้มีแต่เรื่องรถไฟ เพราะว่าการท่ามิได้มีแต่เรือ เพราะว่าการบินมิได้มีแต่เครื่องบิน
หากต้องมีการบริหารจัดการ
การบริหารจัดการธุรกิจรถไฟจึงจำเป็น การบริหารการขนส่งสินค้าทางเรือจึงจำเป็น การบริหารธุรกิจการบินจึงจำเป็น
เมื่อรัฐวิสาหกิจอยู่ในมือ “ทหาร”การขาดทุนจึงเป็น “เครื่องหมายการค้า”
ความจริง นับแต่สถานการณ์เมื่อเดือนตุลาคม 2516 ภาพของทหารได้ค่อยๆ ลบออกไปจากภาคธุรกิจและภาคการเมืองเป็นลำดับ
ตามสถานะถดถอยของ “ถนอม-ประภาส”
แต่การรัฐประหารได้ทำให้ภาพของ “ทหาร” บทบาทของ “กองทัพ” ได้หวนคืนมาให้ได้เกิดการเปรียบเทียบในกระแสแห่งพัฒนาการทางเศรษฐกิจและการเมือง
โดยเฉพาะรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ยิ่งเด่นชัด
เพราะว่า คสช.พยายามจะเลียนแบบยุคของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ยุคของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยุคของ จอมพลถนอม กิตติขจร
ทั้งที่สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้วเป็นอย่างมาก
ด้านหนึ่ง กองทัพโดยทหารผงาดขึ้นมามีอำนาจและกุมอำนาจในทางเป็นจริง แต่ด้านหนึ่ง อำนาจนั้นก็อยู่ในห้วงแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
อำนาจจึงง่อนแง่นอยู่บนซากปรักหักพัง
ยิ่งเมื่อประสบเข้ากับสถานการณ์โควิด-19 ยิ่งทำให้ปัญหาซึ่งกลบทับเอาไว้ใต้พรม ไม่ว่าในทางเศรษฐกิจ
ไม่ว่าในทางการเมืองยิ่งมีความเด่นชัด
หากเด่นชัดอยู่ในมือคนมี “วิสัยทัศน์” ก็ไม่น่าเป็นห่วง
แต่เมื่อตกอยู่ในมือของกองทัพ ตกอยู่ในมือของทหาร อันถือได้ว่าอยู่แถวหลังสุดในกระแสแห่งการพัฒนา เปลี่ยนแปลง
ความรู้สึกหงุดหงิดต่อ “ทหาร”ยิ่งลึกซึ้ง กว้างขวาง และรุนแรง