เมื่อ ส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐ จำนวน 25 คน ร่วมลงชื่อท้ายญัตติขอให้ประธานรัฐสภา ส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ จำนวน 3 ฉบับประกอบด้วย ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ของฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้านที่ให้ตั้ง ส.ส.ร.มายกร่างใหม่ทั้งฉบับ และร่างแก้รัฐธรรมนูญฉบับไอลอว์ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตามที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กับนายสมชาย แสวงการ ส.ว. ร่วมกันเสนอ แล้วปรากฏว่าในจำนวนดังกล่าว พบว่ามี ส.ส.พลังประชารัฐ ถึง 21 คน ที่ได้ร่วมลงชื่อในร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ฉบับของพรรคร่วมรัฐบาล กลายเป็นสงสัยในจุดยืนของ ส.ส.กลุ่มดังกล่าว รวมทั้งจุดยืนของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นแกนนำของฝ่ายรัฐบาลว่ามีความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือต้องการเตะถ่วง
กรณีนี้ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และนายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) แถลงข่าวชี้แจงกรณีร่วมกันเสนอญัตติเพื่อให้รัฐสภาส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม จำนวน 3 ฉบับว่า การร่วมลงชื่อในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาล ไม่ใช่การกระทำที่ย้อนแย้ง เพราะตอนร่วมเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญยังไม่เห็นปัญหา แต่เมื่อตอนนี้มีปัญหาแล้วก็ควรทำให้เกิดความชัดเจนก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะสิ้นสุดทั้งกระบวนการ เมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ได้กำหนดให้รัฐสภามีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้ว การเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อทำรัฐธรรมนูญใหม่ จึงเป็นปัญหาว่ากระทำได้หรือไม่
แม้กลุ่ม ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐที่เคยสนับสนุนญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วกลับมา สนับสนุนให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเนื่องจากเหตุว่าน่าจะขัดรัฐธรรมนูญ จะมีเหตุผลชี้แจงเช่นไร แต่เมื่อผนวกรวมกับการกระทำของพรรคพลังประชารัฐที่เป็นผู้เสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ จากนั้นนำเสนอให้มีคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่ายขึ้นมาศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้ง ซึ่งจะมีการนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในวันที่ 17-18 พฤศจิกายนนี้ ทำให้สังคมสงสัยว่า พรรคพลังประชารัฐและ ส.ส.กลุ่มดังกล่าวมีเจตนาที่จะเตะถ่วงการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวย่อมขัดต่อคำประกาศของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ชี้แจงต่อรัฐสภาในเรื่องนี้ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 วาระภายในเดือนธันวาคม และเป็นการตอกย้ำความจริงใจของรัฐบาลต่อข้อเรียกร้องในเรื่องรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่แจ่มแจ้งขึ้นเรื่อยๆ
