รายงานหน้า2 : นักวิชาการถอดรหัส ‘2 ม็อบ’ปะทะเดือด แค่อุบัติเหตุหรือจงใจ

หมายเหตุนักวิชาการให้ความเห็นกรณีผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎรที่สนับสนุนแก้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนของโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) กับกลุ่มไทยภักดีและเครือข่ายที่คัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญ ปะทะกันบริเวณหน้ารัฐสภา เกียกกาย จะบานปลายหรือไม่ พร้อมเสนอแนะทางออก

สุขุม นวลสกุล
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง

ความขัดแย้งจากแนวคิดทางการเมืองที่ทำให้มีการปะทะ เป็นเรื่องที่ไม่เกินความคาดหมายไว้ล่วงหน้า เพราะมวลชนบางฝ่ายที่แจ้งว่าจะยุติการชุมนุมได้เปลี่ยนแผน ส่วนตัวเห็นว่าไม่ควรกล่าวโทษฝ่ายใด โดยเฉพาะผู้ที่มีหน้าที่รักษาความเรียบร้อยทางการข่าวอาจไม่ทราบล่วงหน้า ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากการยั่วยุ
สำหรับการปะทะของมวลชน 2 ฝ่ายถือว่ายังไม่รุนแรงจนน่าวิตก ขณะที่บางฝ่ายพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะ หรือถ้ามองในแง่ร้ายอาจมีผู้นำบางฝ่ายต้องการใช้มวลชนเป็นเครื่องมือเพื่อให้มีการปะทะ ทั้งที่ได้ประกาศว่าจะยุติการชุมนุมก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้าในพื้นที่เดียวกัน แต่ถึงที่สุดมวลชนที่ปะทะก็หยุดกันไปเอง ด้วยความสำนึกและความรู้สึกที่ไม่ต้องการให้เหตุการณ์บานปลาย
ขณะที่ปลายทางประเมินยากว่าการชุมนุมของมวลชนทั้ง 2 ฝ่ายจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือไม่ แต่ล่าสุดมีบางฝ่ายประกาศไปใช้สถานที่อื่นแทนหน้ารัฐสภา ดังนั้นถ้ามีฝ่ายอื่นตามไปอีกก็ชัดเจนว่าคงตั้งใจจะไปหาเรื่อง และต้องยอมรับว่ามวลชนบางส่วนถูกมองว่ามีการจัดตั้ง อาจจะไม่ใช่มวลชนที่บริสุทธิ์ทั้งหมด
ถ้ามองย้อนไปก่อนมีเหตุปะทะในช่วงบ่ายและค่ำ กระแสสังคมตั้งข้อสังเกตโดยพุ่งเป้าไปที่การปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยที่หน้ารัฐสภา ถูกมองว่าเข้าข่าย 2 มาตรฐาน ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะมวลชนฝ่ายหนึ่งต้องการเอาดอกไม้ไปให้ กับอีกฝ่ายเอาก้อนอิฐไปให้ ถามว่าผู้มีอำนาจหน้าที่จะเลือกฝ่ายไหน ดังนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมองว่ามวลชนที่ตั้งใจเข้ามาเชียร์คงไม่สร้างปัญหาจึงไม่ควรสกัดกั้น ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติ แม้จะถูกมองว่า 2 มาตรฐานที่เกิดขึ้นมานาน ทั้งที่สถานที่ที่ปิดกั้นไม่ควรจะมีฝ่ายใดเข้าไปได้
ขณะที่มวลชนทุกฝ่ายคงต้องทบทวน หากการมีการทำกิจกรรมแล้วระงับอารมณ์ ความรู้สึก หรือควบคุมพวกฮาร์ดคอร์เข้ามาผสมโรงไม่ได้ ก็จะมีปัญหาต่อเนื่อง
สำหรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญบางฉบับที่เป็นข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมบางฝ่ายนั้น ผู้มีอำนาจมองว่าหากปล่อยให้ผ่าน ในอนาคตก็จะมีการกดดันเพิ่มอีกเพื่อทำความฝันให้เป็นความจริง เพราะฉะนั้นจึงเลือกจะไม่โหวตผ่าน แม้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างจากกระแสความไม่พอใจในระยะสั้น แต่ดีกว่าปล่อยให้มีข้อต่อรองยืดเยื้อออกไปอีก
แต่ในความเป็นจริง ร่างไอลอว์จะผ่านหรือไม่ผ่าน ความขัดแย้งก็ไม่มีวันจบ และขอให้การปะทะเป็นแค่อุบัติเหตุ อย่าทำให้คิดว่ามีใครวางแผนไว้ล่วงหน้า ส่วนจะมีรัฐประหารเกิดขึ้นหรือไม่ ไม่ขอพูดถึงเพราะส่วนตัวไม่ชอบ และขออย่าให้มีใครสร้างสถานการณ์เพื่อนำไปสู่สิ่งนั้น
แม้ว่าความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมาหลายเดือนจะมีความตึงเครียด แต่เชื่อว่ารัฐบาลได้ประเมินตลอด หากมีการโหวตรับร่างรัฐธรรมนูญบางญัตติแล้วน่าจะลดปัญหาได้บ้าง แต่ไม่ทราบว่าจะลดได้มากน้อยแค่ไหน เพราะดูท่าทีของนายกฯเหมือนจะไม่สบายใจ และใน 3 วัน 7 วันข้างหน้ากลุ่มมวลชนที่ออกมาเสนอข้อเรียกร้องก็ยังมีต่อไป แต่การปะทะกันของมวลชนเชื่อว่าไม่มีใครอยากเห็น

โอฬาร ถิ่นบางเตียว
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

ADVERTISMENT

การปะทะกันของม็อบที่เกิดขึ้นเป็นผลผลิตจากความขัดทางการเมืองไทยที่สะสมมายาวนาน จากกลุ่มมวลชนที่มีจุดยืนแตกต่างกัน แต่เงื่อนไขอาจเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทและสถานการณ์ หากประเมินจากปัญหาที่เกิดขึ้นที่หน้ารัฐสภา เยาวชนคนหนุ่มสาวต้องการให้สภารับหลักการรับร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 7 ฉบับ โดยเฉพาะร่างของไอลอว์เพราะมองว่าจะทำให้มีการร่างกติกาการเมืองที่เป็นธรรม ยุติการสืบทอดอำนาจของ คสช. และเปิดทางนำไปสู่การสร้างสังคมที่คิดว่าจะดีกว่าเก่า
อีกฝ่ายเป็นกลุ่มไทยภักดี กลุ่มคนเสื้อเหลือง มีท่าที่ชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะอาจมีผลกระทบต่อสถาบัน นำไปสู่การปะทะที่ทำให้ปัญหาบานปลาย ประกอบกับท่าทีของผู้ควบคุมสถานการณ์อาจประเมินเหตุการณ์ผิดพลาด
ในทางการเมืองสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เหตุบังเอิญ เพราะการปะทะที่เกิดขึ้นเป็นการปูทางเพื่อนำไปสู่เงื่อนไขอื่นได้เสมอ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เปราะบางและมีความซับซ้อนในขณะนี้ สัญญาณที่ฝ่ายความมั่งคงยืนยันว่าจะไม่ทำรัฐประหารถ้าไม่มีเงื่อนไข แต่ล่าสุดมีมวลชนออกมา 2 ฝ่ายแล้วปะทะกัน บวกกับความล้มเหลวในการทำหน้าที่ของตัวแทนฝ่ายค้านและรัฐบาลที่พยายามสร้างเงื่อนไขต่อรองในสภา ทำให้ประเมินว่าความขัดแย้งจะเกิดขึ้นอีกยาวนาน
ขณะเดียวกันผู้มีอำนาจในรัฐบาลยังออกมาเสนอความเห็นว่าจะไม่แก้ไขและมีการยื้อ อาจประเมินว่าการชุมนุมอาจไม่น่ากังวลตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) รายงานว่าขบวนการนักศึกษาเริ่มแผ่ว แต่จากการปะทะเมื่อคืนวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา อาจทำให้กระแสตีกลับมาอีก รวมทั้งการโหวตร่างรัฐธรรมนูญ และการนัดชุมนุมใหญอีกครั้งที่ราชประสงค์
เชื่อว่าทุกฝ่ายต้องการเห็นการพัฒนาประชาธิปไตยในแนวทางสันติ ทุกฝ่ายสามารถขัดแย้งได้ภายใต้เหตุผล ขัดแย้งในเวทีสาธารณะที่ทุกฝ่ายสามารถคุยได้ด้วยความเชื่อมั่นศรัทธาในเหตุผลและรับฟังซึ่งกันและกัน ต่อไปอาจต้องเปลี่ยนวิธีคิดในเรื่องประชาธิปไตยตัวแทน แบบมีส่วนร่วมทางตรง มีการยกระดับไปเป็นประชาธิปไตยในรูปแบบการปรึกษาหารือ ต้องใช้เวลาเพื่อพูดคุยทำความเข้าใจ
อาจมีการลงสัตยาบันโดยกลุ่มนักศึกษา โดยตั้งตัวแทนหรือแกนนำที่เป็นทางการเพื่อทำหน้าที่ในพื้นที่เจรจาว่าอะไรจะทำได้มากน้อยแค่ไหน การร่างรัฐธรรมนูญจะขับเคลื่อนอย่างไร หรือยื่นเงื่อนไขนายกฯลาออก ขณะที่การปฏิรูปสถาบันก็ต้องนำไปพูดคุย และต้องยอมรับว่าการเจรจาทางการเมือง จะไม่มีฝ่ายใดได้อะไรทั้งหมด แต่ทุกฝ่ายต้องได้บ้างเสียบ้าง ต้องทำให้ทุกอย่างที่เป็นข้อเรียกร้องเดินต่อไปได้ด้วยหลักการและเหตุผล
สำหรับองค์กรกลางเจ้าภาพที่จะดำเนินการควรเป็นสถาบันการศึกษาเพื่อให้ทุกฝ่ายแสดงความเห็น ความต้องการและมีคนรับฟัง โดยไม่ใช้ความเป็นผู้อาวุโส หรือผู้มีประสบการณ์ในแนวคิดแบบเดิมๆ แต่ต้องใช้ความเป็นมนุษย์ที่เท่ากัน มีการใช้หลักขันติธรรมเป็นตัวชี้วัดในระบอบประชาธิปไตย แทนการใช้วิธีการเริ่มต้นด้วยความรุนแรง

 

ADVERTISMENT

ธเนศวร์ เจริญเมือง
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.)

ประวัติศาสตร์การทำรัฐประหารของไทย 13 ครั้ง พบว่าคนทำรัฐประหารได้ประโยชน์ 2-3 เรื่องคือ ออกกฎหมายนิรโทษกรรมตัวเอง มีตำแหน่งหน้าที่ พร้อมจัดสรรอำนาจและผลประโยชน์แก่พวกพ้อง ซึ่งไม่ใช่ตัวแทนประชาชน จึงไม่ยึดโยงหรือสร้างประโยชน์ต่อส่วนรวมและประชาชน
ดังนั้น หากต้องการสืบทอดอำนาจระยะยาว ต้องสร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง เกิดม็อบต่อต้านและม็อบสนับสนุน เพื่อให้เกิดการเผชิญหน้า โดยใช้วิธียั่วยุและสงครามประสาท จนนำไปสู่ม็อบปะทะม็อบ ส่วนเจ้าหน้าที่ไม่ห้ามหรือเป็นกันชน จนควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ อาจนำไปสู่ความรุนแรง ลุกลามสู่สงครามกลางเมือง หรือมิคสัญญีได้ โดยฝ่ายเผด็จการจะอ้างเหตุการณ์ความไม่สงบ หรือความวุ่นวาย เป็นเกราะกำบังความชอบธรรมเพื่อยึดอำนาจปกครองประเทศต่อ
ทางออกของปัญหา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ควรทำตามข้อเรียกร้องของกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ คือ ลาออก ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ที่ทุกฝ่ายยอมรับ และประชาชนได้ประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน หาก พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาล ไม่ทำตามข้อเรียกร้อง เชื่อว่าการชุมนุมของม็อบนักศึกษา ประชาชน ยิ่งขยายวงกว้างและชุมนุมยืดเยื้อมากขึ้น ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนอำนาจเผด็จการ ออกมาต่อต้านม็อบดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ทำให้เหตุการณ์บานปลายไม่สงบ สร้างความเสียหายต่อประเทศ ทั้งการค้า การลงทุน ท่องเที่ยว กลายเป็นประเทศที่ไม่มีอนาคต
ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ควรตั้งโต๊ะเจรจาม็อบสองฝ่าย โดยมีคนกลางเข้ามาไกล่เกลี่ยเพื่อให้สองฝ่ายถอยคนละก้าว เพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือดโดยไม่จำเป็น
หาก พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการหยุดสงครามกลางเมือง หรือมิคสัญญี ต้องเสียสละไม่ยึดติดกับอำนาจและผลประโยชน์ใดๆ อีก เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้ชุมนุม เชื่อว่าสถานการณ์คลี่คลายไปสู่ความสงบเรียบร้อย ยิ่งถ่วงหรือยื้อเวลาออกไปอีก สถานการณ์อาจบานปลายไม่สามารถควบคุมได้ นำไปสู่ความสูญเสียที่รุนแรง เพราะไม่มีใครกลัว หรือยอมใครแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จะรับผิดชอบอย่างไร เพราะเป็นผู้ชักนำประเทศไปสู่ความหายนะที่ใหญ่หลวงเกินคาดได้

 

เศวต เวียนทอง
อาจารย์พิเศษด้านกฎหมายคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยมกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา

กรณีม็อบปะทะม็อบที่หน้ารัฐสภานั้น สถานการณ์ดังกล่าว เป็นเหตุการณ์เผชิญหน้าที่นำไปสู่ความรุนแรง แต่ไม่เชื่อว่าคนไทยจะฆ่ากันเอง เป็นแค่อารมณ์และความรู้สึกพาไป เนื่องจากมีการยั่วยุทั้งสองฝ่าย เหตุการณ์ดังกล่าวเชื่อว่าเป็นการปั่นกระแส ให้เกิดความกลัวและเกลียดชัง ถือเป็นเกมแห่งอำนาจหรือเพาเวอร์เกม เพื่อชิงอำนาจการเมืองและปกครองประเทศ โดยใช้ประชาชนหรือกลุ่มผู้ชุมนุม เป็นเครื่องมือแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์เท่านั้น
ประเด็นที่มีผู้เรียกร้องให้รัฐบาลตั้งโต๊ะเจรจากับม็อบทั้งสองฝ่าย โดยมีคนกลางเข้ามาไกล่เกลี่ย เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะจนนำไปสู่การนองเลือด หรือสงครามกลางเมืองนั้น เชื่อว่าไม่มีใครมา เพราะกลัวกระสุนตก เพราะสองฝ่ายไม่กลัวและไม่มีใครยอมใครแล้ว
เชื่อว่าการชุมนุมทั้งสองฝ่ายคงยืดเยื้อไปอีกสักระยะตามวิถีทางประชาธิปไตย จนกว่ามีสถานการณ์พิเศษเข้ามาแทนที่การเผชิญหน้าสองฝ่าย ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเมื่อใดและใครเป็นคนกลางเข้ามาหย่าศึกครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสองฝ่ายพยายามใช้เทคนิค หรือกลยุทธ์เอาชนะกัน เพื่อให้ได้เปรียบทางการเมืองมากที่สุด พร้อมรักษาสมดุลการเจรจาต่อรองกันไว้เพื่อหาทางออก หรือทางลงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง คงไม่มีใครเอาประเทศเป็นตัวประกัน โดยเฉพาะรัฐบาล หรือเครือข่ายสนับสนุนเผด็จการ คงไม่ใช้วิธีนอกระบบเข้ามาแก้ปัญหาดังกล่าว หรือเป็นผู้สร้างสถานการณ์เพื่อยึดอำนาจต่อ เพราะถูกจับตามองจากทั่วโลก แต่การชุมนุมสองฝ่าย ทำให้เกิดความสับสนและโฆษณาชวนเชื่อในสังคมโซเชียลมีเดีย เพื่อชิงความได้เปรียบทุกวิถีทาง ดังนั้น สองฝ่ายต้องเล่นไปตามเกมแย่งชิงอำนาจเพื่อสร้างโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาลใหม่อีกครั้ง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image