ข่าวการยื่นใบลาออกจากสมาชิกภาพแห่งพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ไม่ว่า
ของ นายโภคิน พลกุล ไม่ว่าของ นายวัฒนา เมืองสุข
สร้างความตื่นเต้น
เพราะไม่เพียงแต่ 1 เหมือนกับจะสะท้อนความขัดแย้งอันดำรงอยู่ภายในพรรคเพื่อไทยนับแต่มีการเปลี่ยนตัวกรรมการบริหารพรรค
ส่งผลให้ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ พ้นจากตำแหน่ง “เลขาธิการ”
หากแต่ 1 ยังสอดรับกับบรรยากาศแห่งความไม่แน่นอนในทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าจะอยู่หรือจะไป
กลิ่นของ “รัฐบาลแห่งชาติ” จึงโชยมา
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง การขยับของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ก็เหมือนกับการขยับของ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ หรือการขยับของ นายจาตุรนต์ ฉายแสง
นั่นก็คือ ขยับเพื่อ “ปรับตัว” รับกับแนวโน้มของการเมือง
ต้องยอมรับว่า ความขัดแย้งอันเกิดขึ้นภายในพรรคเพื่อไทยเป็นความขัดแย้งที่มิได้ใหญ่โต เพราะเสมอเป็นเพียงในเรื่องของกระบวนการ เป็นเรื่องในทางยุทธวิธี
มิได้เป็นเรื่องในทาง “ยุทธศาสตร์”
นี่มิได้เป็นการออกเพราะเห็นต่างในรายละเอียดการเคลื่อนไหวของ “เยาวชนปลดแอก” นี่มิได้เป็นการออกเพราะเห็นต่างในเรื่องจะร่วมหรือไม่ร่วม “รัฐบาลแห่งชาติ”
ทั้งหมดเสมอเป็นเพียงเรื่องในทาง “ยุทธวิธี”
หากดูจาก นายพงศกร อรรณนพพร ซึ่งชิดใกล้อย่างยิ่งกับ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ตลอดจน นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ก็จะมองออก
ในที่สุดแล้วก็เหมือนกับกรณีของ “ไทยรักษาชาติ”
เพียงแต่ว่าน้ำหนักของพรรคเพื่อไทยยังรักษาจุดแข็งที่ “เขต” ขณะที่เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญจะเปิดโอกาสให้กับ “บัญชีรายชื่อ” มากขึ้นเท่านั้น
กระนั้น การลาออกของ “คุณหญิง” ก็เป็นเหมือนกับ “สัญญาณ”
บทสรุปร่วมในทางการเมืองขณะนี้ไม่ว่าจะมองมาจากพรรคก้าวไกลไม่ว่าจะมองมาจากพรรคเพื่อไทย ดำเนินไปสอดรับกันโดยอัตโนมัติ
เวลาของ “รัฐบาล” ไม่ยาวนานนัก
สถานการณ์จากการปรากฏขึ้นของ “เยาวชนปลดแอก” เมื่อเดือนกรกฎาคม สถานการณ์จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเดือนธันวาคม
เน้นสภาวะ “ขาลง” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หนักหนาสาหัสขึ้น
แม้รัฐบาลจะสามารถกุมอำนาจผ่าน “รัฐสภา” ไม่ว่าจะเป็น 250 ส.ว. ไม่ว่าจะเป็น ส.ส.พรรคพลังประชารัฐแต่อำนาจนี้ดำรงอยู่เหมือน “ยักษ์ตีนดิน”
โยกเยก โครงเครง ไม่แข็งแรงเหมือนภาพที่เห็น
มีความจำเป็นที่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และคณะจะต้องตระเตรียม เพราะหนทางข้างหน้าหากมิใช่ 1 ลาออก ก็อาจเป็น 1 ยุบสภา
มอบโอน “อำนาจ” ให้อยู่ในมือ “ประชาชน”
อํานาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำเนินไปภายใต้กฎแห่งอนิจจัง แตกต่างจากหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
แตกต่างจากหลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562
กระแสอันหนักหนาสาหัส คือกระแสฟาดกระหน่ำจากการลุกขึ้นมาสร้างปรากฏการณ์เมื่อเดือนกรกฎาคม 2563 ของ “เยาวชนปลดแอก”
นี่ต่างหากคือ “มรสุม” ใหญ่ที่กำลังซัดกระหน่ำ