ความมั่นใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ภายหลังการพบและสนทนากับ 2 หัวหน้าพรรคใหญ่ร่วมรัฐบาล 1 นายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย 1 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ พรรคประชาธิปัตย์
เป็นความมั่นใจบนรากฐานแห่งความเป็น “นายกรัฐมนตรี” เป็นความมั่นใจที่จะเป็นการปรับ ครม. “ขนาดเล็ก”
ที่สำคัญก็คือ เป็นการปรับโดยรักษา “ฐาน” ทางการเมืองเดิม
นั่นก็คือ ไม่ว่าพรรคภูมิใจไทย ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ จะยังคงรักษาตำแหน่งและโควต้าตามสัดส่วนที่ตกลงกันไว้ก่อนการขานชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อเดือนมิถุนายน 2562
ความหมายก็หมายความว่า บนฐานเดิมที่ได้มาจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2562 ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ 52 ที่พรรคภูมิใจไทยได้ 51
แม้ในความเป็นจริง พรรคภูมิใจไทยจะมี ส.ส.อยู่ในมือ 61 แม้ในความเป็นจริง พรรคประชาธิปัตย์จะลดน้อยลงเหลือ 50 ก็ตาม
กระนั้น ที่ไม่ควรมองข้ามก็คือความมั่นใจนี้ยังต้องตรวจสอบอุณหภูมิอันดำรงอยู่อย่างร้อนแรงมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับภายในพรรคพลังประชารัฐ
ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมีความมั่นใจมากน้อยเพียงใด แต่ผลที่สุดของการปรับ ครม.ก็จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับความเป็นจริงอันมาจากพรรคร่วมรัฐบาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นจริงของ 1 พรรคพลังประชารัฐ 1 พรรคภูมิใจไทย 1 พรรคประชาธิปัตย์
และรวมถึง 1 พรรคขนาดเล็กอีก 17 พรรคซึ่งเป็น “ตัวแปร”
สภาพการณ์ทางการเมืองในเดือนมีนาคม 2564 แตกต่างอย่าง สิ้นเชิงไปจากสภาพการณ์ทางการเมืองในห้วงหลังรัฐประหาร เดือนพฤษภาคม 2557
และแตกต่างอย่างสิ้นเชิงไปจากสภาพการณ์หลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 อย่างสิ้นเชิง
อำนาจจึงมิได้อยู่ในกำมือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างเบ็ดเสร็จและเด็ดขาด
ภายหลังจากการประชุม คณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐในวันที่ 2 มีนาคม รูปโฉมและวิถีแห่งการปรับ ครม.จะมีความเด่นชัดมากยิ่งขึ้น
คล้ายกับอำนาจยังเป็นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่
แต่แนวโน้มและมติของคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐนั่นแหละ จะชี้ออกมาอย่างเด่นชัดว่า “วิถี” จะดำเนินไปอย่างไร
ไปในทิศทางที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำหนดหรือไม่