บทนำวันจันทร์ที่31พฤษภาคม2564 : ต้องก้าวให้ทัน

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 27 พ.ค. ว่าแนวโน้มสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกดูเหมือนลดลง แต่ประเทศไทยเรายังทรงตัวทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด การระบาดมีกลุ่มก้อนใหม่สลับแทรกขึ้นมา เช่น โรงงาน ซึ่งมีการแจ้งไปยังกระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม ขอให้ดูแลสภาพโรงงาน ดูแลความเป็นอยู่ของแรงงานอย่างใกล้ชิด และตรวจหาเชื้อแรงงาน แคมป์ก่อสร้าง และชุมชนแออัด ฝ่ายปกครองได้เข้าไปช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันสถานการณ์ชายแดนติดประเทศกัมพูชายังมีการเข้ามาแบบผิดกฎหมายอยู่ ปัจจัยเสี่ยงยังมาจากการสัมผัสใกล้ชิดกัน เช่น มีกระป๋องน้ำผูกเอาไว้และกดน้ำดื่มร่วมกัน หรือแก้วคว่ำเอาไว้ ไม่ใช่การใช้แล้วทิ้ง ซึ่งทำให้มีการสัมผัสสารคัดหลั่งที่อยู่ในปาก หรือมือ ทำให้เกิดการแพร่เชื้อ

สถานการณ์ของหลายประเทศขนาดใหญ่ทางตะวันตกเริ่มควบคุมได้ กลับมาใช้ชีวิตปกติมากขึ้น ทราบกันทั่วไปว่าเป็นผลจากการระดมฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างกว้างขวาง ส่วนประเทศไทยยังมีตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวัน และผู้เสียชีวิตที่ยังสูงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การฉีดวัคซีนในประเทศไทยมีภาพรวมอยู่ที่ 3.5 ล้านเข็ม จากเป้าหมายจะฉีด 30 หรือ 5 ล้านคน ถือว่าช้า เมื่อเทียบกับประเทศทั่วไปและในอาเซียน เมื่อเร็วๆ นี้รัฐบาลยังให้ยุติการลงทะเบียนทางแอพพลิเคชั่น “หมอพร้อม” ที่มุ่งให้วัคซีนผู้มีอายุเกิน 60 และมีอาการใน 7 กลุ่มโรคเสี่ยงออกไปก่อน เหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมๆ ข่าวว่า วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่หลักๆ จะใช้กับผู้มีอายุเกิน 60 เกิดขาดแคลน

ทางรัฐบาลไทยควรเร่งจัดการนำวัคซีน เข้ามาฉีดให้กับประชาชนโดยเร็ว ซึ่งขณะนี้ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เป็นอีกหน่วยงานที่สามารถนำเข้าวัคซีน ซึ่งจะช่วยสกัดการแพร่ระบาดซึ่งถือว่าร้ายแรงและรุนแรงกว่าที่ผ่านๆ มา แล้วพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ก้าวให้ทันกับนานาประเทศที่ผ่านขั้นตอนการระดมฉีดวัคซีนไปแล้ว และกำลังเข้าสู่ห้วงเวลาของการ “รีโอเพนนิ่ง” อีกครั้งหนึ่ง หลายประเทศเป็นคู่ค้าสำคัญ เป็นตลาดท่องเที่ยวของไทย หากยังล่าช้าประเทศไทยอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ปัญหาการฉีดวัคซีนจะเป็นอุปสรรคหรือข้อจำกัด ทำให้การเดินทางเข้าออกประเทศเป็นปัญหา และส่งผลต่อการพลิกฟื้นประเทศด้วย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image