ในท่ามกลางความขัดแย้งอันเกิดขึ้นและดำรงอยู่ตั้งแต่ก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 กระทั่งรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
ในที่สุดก็มี “จุดร่วม” ในทางการเมือง
ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย ล้วนมีเป้าหมายการแก้ไขรัฐธรรมนูญตรงกัน
นั่นก็คือ เน้นไปยังระบบวีธีเลือกตั้ง
นั่นก็คือ การย้อนกลับไปหยิบเอาเนื้อหาในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มาปัดฝุ่นและสอดสวมเข้าไปในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560
จากบัตร 1 ใบเป็นบัตร 2 ใบ
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นท่วงท่าอาการที่พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย ได้มายืนอยู่ในจุดร่วมกันอย่างมิได้นัดหมาย
เพียงแต่ดำเนินไปในแบบ “นอนเตียงเดียวกัน แต่ฝันคนละอย่าง”
ถามว่าเหตุใดพรรคพลังประชารัฐซึ่งเคยเชื่อมั่นต่อบทสรุปที่ว่า “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกแบบมาเพื่อพวกเรา” จึงต้องมีการปรับแก้เพิ่มเติม
โดยหยิบเอารูปแบบของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มาเป็นเครื่องมือ
ต้องยอมรับว่า ความพยายามตั้งแต่รัฐประหารเดือนกันยายน 2549 กระทั่งรัฐประหารเมือเดือนพฤษภาคม 2557 มีเป้าหมายเดียว
นั่นคือ ต้องการ “ชนะ” ต่อสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบทักษิณ”
เพราะมีรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ก็ยังแพ้พรรคพลังประชารัฐ เพราะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ก็ยังแพ้พรรคเพื่อไทย
จึงต้องรัฐประหารซ้ำในเดือนพฤษภาคม 2557
แม้จะออกแบบรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ให้สามารถสืบทอดอำนาจแม้ว่าจะแพ้การเลือกตั้งต่อพรรคเพื่อไทยในเดือนมีนาคม 2562 ก็จำเป็นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญอีก
คราวนี้ย้อนกลับไปยังรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540
กลยุทธ์ของพรรคพลังประชารัฐครั้งใหม่นี้ไม่เพียงแต่สอดรับกับความต้องการของพรรคประชาธิปัตย์ หากแต่ยังสอดรับกับความต้องการของพรรคเพื่อไทย
อย่าได้แปลกใจหากพรรคเพื่อไทยจะสนองตอบเต็มที่
เป็นการสนองตอบต่อการนำเอาวิธีการเลือกตั้งจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มาใช้แม้ว่าจะต้องแยกทางกับพันธมิตรทางการเมืองบางส่วนก็ตาม
เพราะว่าพรรคเพื่อไทยมั่นใจว่าโอกาสจะเป็นของตน
ขณะเดียวกัน พรรคพลังประชารัฐซึ่งก่อร่างสร้างพรรคมาในกระบวนการเดียวกันกับพรรคไทยรักไทยในอดีตก็มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม
หากเลือกตั้งครั้งต่อไปก็จะต้องได้ชัยชนะ
ไม่ว่าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย จึงอยู่บนพื้นฐานแห่งความเชื่อมั่นอันเดียวกัน นั่นก็คือ มั่นใจในฐานทางการเมืองว่าชัยชนะจะเป็นของตน
นี่คือเป้าหมายร่วมของพรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทย
การเมืองเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ก็จริง แต่การเมืองมิได้เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ “ธรรมชาติ” ที่แน่นอนตายตัว หากแต่เป็นวิทยาศาสตร์ “สังคม”
สภาพการณ์จึงสามารถพลิกผันแปรเปลี่ยนได้
เนื่องจากสภาพการณ์ทางสังคมในปี 2564 หรือในปี 2565 แตกต่างอย่างสิ้นเชิงไปจากสภาพการณ์ทางสังคมในปี 2544 หรือในปี 2548
ทุกอย่างจึงต้องวัดผ่านความเป็นจริงที่แปรเปลี่ยนไป