สภาผู้แทนฯ ลงมติในญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี รวม 6 คน เมื่อวันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา ผลปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้คะแนนไว้วางใจ 264 ต่อ 208 งดออกเสียง 3 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ไว้วางใจ 269 ต่อ 196 งดออกเสียง 11 เสียง นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ไว้วางใจ 263 ต่อ 201 งดออกเสียง 10 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ไว้วางใจ 269 ต่อ 195 งดออกเสียง 10 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ไว้วางใจ 270 ต่อ 199 งดออกเสียง 8 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ไว้วางใจ 267 ต่อ 202 งดออกเสียง 9 เสียง
นัยยะของผลคะแนนเมื่อเปรียบเทียบ พล.อ.ประยุทธ์ ได้คะแนนไว้วางใจเป็นอันดับ 5 จาก ทั้งหมด 6 คนที่ถูกอภิปราย และได้คะแนนไม่ไว้วางใจมากที่สุด แม้ไม่ถึงครึ่งของ ส.ส.ในสภาที่จะทำให้พ้นตำแหน่ง แต่ก็เป็นภาพสะท้อนผลการทำงานของนายกรัฐมนตรี และชี้ถึงปัญหาเอกภาพของพรรคแกนนำรัฐบาล คือพรรคพลังประชารัฐว่ากำลังมีปัญหา ในระหว่างการอภิปราย มีกระแสข่าวว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค พปชร.และ รมช.เกษตรฯ ได้เคลื่อนไหวในกลุ่ม ส.ส.พลังประชารัฐ และพรรคเล็กบางพรรค นำไปสู่กระแสข่าวว่า อาจมีการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรี มีการให้สัมภาษณ์ท้าทายตอบโต้กัน ทำให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และพี่ใหญ่ของ 3 ป.ต้องออกมาหย่าศึก โดยยืนยันว่าตนเอง ไม่ประสงค์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ ร.อ.ธรรมนัสได้ยกมือไหว้ขอโทษ พล.อ.ประยุทธ์ และขอให้
นายกฯ ให้สัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ส.ส.ให้มากขึ้น
การลงมติดังกล่าว เป็นไปตามเหตุผลทาง การเมือง พรรคร่วมรัฐบาลยังต้องการอยู่ในอำนาจต่อไป จึงยกมือสนับสนุนกัน แต่มีบางส่วนแสดงความไม่พอใจออกมา ส่วนภายนอกสภา ประชาชนซึ่งไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาลและเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง ไม่พอใจผลการลงคะแนนดังกล่าวแน่นอน ดังนั้นเงื่อนไขที่จะเคลื่อนไหวกดดันของกลุ่มพลังนอกสภา จึงยังดำรงอยู่ และจะรุนแรงขึ้น หลายฝ่ายคาดหมายว่า อาจมีการปรับเปลี่ยนในพรรค พปชร. แต่โจทย์คือ การเปลี่ยนแปลงเพื่อแก้ปัญหาภายใน จะยกระดับการทำงานของรัฐบาลดังที่ประชาชนคาดหวังหรือไม่ หากไม่มีผล คาดว่าจะมีปัญหาติดตามมาอีกแน่นอน
