‘มาริษ-รังสิมันต์’
ปมยูเอ็นชี้‘แบงก์ไทย’
เอื้อรัฐบาลเมียนมา
หมายเหตุ – นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ตั้งกระทู้ถามสดนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร กรณีสภาสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติตีพิมพ์รายงาน มีเนื้อหาระบุว่า สถาบันการเงินของไทยกำลังถูกใช้เป็นทางผ่านเงินของรัฐบาลทหารเมียนมา เพื่อนำไปสนับสนุนการจัดซื้ออาวุธสำหรับทำสงครามปราบปรามประชาชนในประเทศ โดยมีนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้รับมอบจากนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ชี้แจงแทน เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม
มาริษ เสงี่ยมพงษ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
จากกรณีที่ ส.ส.ได้ตั้งกระทู้ถามเกี่ยวกับรายงานของ UN Special Rapporteur ที่มีข้อห่วง กังวล เรื่องธุรกรรมทางการเงินผ่านธนาคารไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นว่าเป็นการทำธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการซื้ออาวุธในเมียนมานั้น ขอชี้แจงดังนี้
เอกสารเรื่อง “Banking on the Death Trade: How Banks and Governments Enable the Military Junta in Myanmar” ซึ่งจัดทำโดยนาย Tom Andrews ผู้เสนอรายงานพิเศษภายใต้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เรื่อง สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเมียนมา (Special Rapporteur on the situation of human rights in Myanmar) 1.มีสถานะเป็นเอกสารประกอบการประชุม (conference room paper) และ 2.มีการระบุอย่างชัดเจนในรายงานดังกล่าวว่าไม่พบหลักฐาน ที่ระบุว่าธนาคารไทยที่ถูกอ้างถึงในรายงาน รับรู้ว่าธุรกรรมดังกล่าวเป็นการจัดซื้อยุทธภัณฑ์ หรือมีกองทัพเมียนมาเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์สุดท้าย (ข้อ 56) และไม่พบหลักฐานว่ารัฐบาลไทยมีส่วนเกี่ยวข้องหรือรับรู้เกี่ยวกับธุรกรรมดังกล่าว (ข้อ 14)
แม้ว่ารายงานจะเป็นเพียงเอกสารประกอบการประชุม และไม่มีหลักฐานระบุว่าสถาบันการเงินของไทยรับรู้เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว แต่ทางการไทยก็ไม่ได้นิ่งเฉย โดยมีการตรวจสอบอย่างจริงจัง และออกคำแถลงชี้แจงหลายครั้ง ดังนี้ 1.ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ ปปง.แถลงว่า มีมาตรฐานทางการเงิน และไม่สนับสนุนการจัดซื้ออาวุธให้แก่องค์กรทางทหารของเมียนมา รวมถึงให้ความสำคัญต่อการป้องกันการห้ามนำธุรกรรมทางการเงินของภาคธนาคารไปใช้ในการจัดซื้ออาวุธ ที่นำไปใช้ละเมิดสิทธิมนุษยชน
2.อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษก กต.ได้ออกคำชี้แจงต่อกรณีดังกล่าว เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2567 และวันที่ 29 มิถุนายน 2567 และได้จัดการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2567 โดยย้ำท่าทีตามคำชี้แจงและแถลงการณ์ของ ธปท., ปปง. และธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง ซึ่งประเมินได้ว่าสื่อไทยและสื่อต่างประเทศ ที่สนใจติดตามมากในช่วงแรกๆ มีท่าทีที่เข้าใจ
เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทย ณ นครเจนีวา ได้กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 56 เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2567 ย้ำท่าทีตามคำชี้แจง และแถลงการณ์ของ ธปท., ปปง. และธนาคารพาณิชย์หลายแห่งของไทย พร้อมแจ้งว่า หากผู้เสนอรายงานพิเศษฯให้ข้อมูลบริษัท หรือธุรกรรมที่ชัดเจน ทางการไทยก็พร้อมตรวจสอบเพิ่มเติม
3.ผู้เสนอรายงานพิเศษฯยอมรับเองทั้งทางลายลักษณ์อักษร และทางวาจาในช่วงการประชุมดังกล่าว และในการสนทนากับเอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทย ณ นครเจนีวา ว่าการตรวจสอบทางการเงินดังกล่าวไม่ใช่เรื่องง่าย และแสดงความยินดีที่ทางการไทยรับทราบ และมีคำแถลงชี้แจงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งขอบคุณที่ทางการไทยจะพยายามตรวจสอบข้อมูลตามรายงานของตนต่อไป โดยพร้อมที่จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับฝ่ายไทยเกี่ยวกับแนวทางการตรวจสอบ
4.ผมขอเรียนว่า เคยมีหลายกรณีที่มีการร้องเรียน และผู้ร้องมีหลักฐานค่อนข้างชัดเจน เกี่ยวกับการดำเนินธุรกรรมของบริษัทในประเทศไทย ที่เข้าข่ายของการทำธุรกิจที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล หรือสุ่มเสี่ยงที่จะเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน รัฐบาลไทยก็ให้ความร่วมมือ ตรวจสอบ และขอให้บริษัทดังกล่าวยุติการกระทำนั้นๆ
ข้อเรียกร้องของผู้เสนอรายงานพิเศษฯที่ขอให้ธนาคารพาณิชย์ของไทยเลิกการทำธุรกรรมกับธนาคารหรือนิติบุคคลใดๆ ของเมียนมา มีนัยมุ่งสู่เป้าหมายให้มีการยุติการมีธุรกรรมทางการเงินกับลูกค้า วิสาหกิจบางราย หรือธนาคารที่ทางการเมียนมาเป็นเจ้าของ เป็นเสมือนข้อเรียกร้องให้ประเทศไทยมีมาตรการคว่ำบาตร (sanction) ทางการเมียนมา ซึ่งจะไม่เป็นผลดีกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน
ประเทศไทยให้ความสำคัญในเรื่องมนุษยธรรม และคำนึงถึงผลกระทบของการคว่ำบาตรต่อประชาชนเมียนมา เนื่องจากการใช้มาตรการคว่ำบาตรจะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อประชาชนชาวเมียนมาที่ประสบความยากลำบากมากอยู่ แล้วจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไทยเป็นประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมาที่มีชายแดนติดต่อกัน และการค้าชายแดนมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนของทั้ง 2 ประเทศ และการสร้างความกินดีอยู่ดีของประชาชนไทยและเมียนมา จึงต้องรักษาความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ
เมื่อรายงานของผู้เสนอรายงานพิเศษฯได้ระบุว่า ไม่พบหลักฐานที่ชัดเจนที่บ่งชี้ว่าธุรกรรมการเงินที่เพิ่มขึ้น เกิดจากการซื้อขายอาวุธโดยตรง หรือมีกองทัพเมียนมาเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ ตลอดจนยอมรับว่าไม่มีหลักฐานระบุได้ชัดเจนว่ารัฐบาลไทยมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือรับรู้เกี่ยวกับธุรกรรมดังกล่าว แต่เป็นการอนุมาน โดยการสร้างสมมุติฐานของผู้เสนอรายงานพิเศษฯจากตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของการ กระทำธุรกรรมระหว่างธนาคารเท่านั้น
ดังนั้น หน้าที่ของผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการ กต. จะต้องชั่งน้ำหนัก และดำเนินการใดๆ เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการต่างประเทศ กับการปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนชาวไทย ผู้ประกอบการไทย ในกรณีนี้คือธนาคารพาณิชย์ของไทย รวมทั้งรักษาสิทธิและเกียรติภูมิของประเทศ
ซึ่งในเมื่อไม่มีหลักฐานชี้ชัด ผมก็ต้องปกป้องผลประโยชน์ของพี่น้องชาวไทยอย่างเต็มที่
รังสิมันต์ โรม
ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล
สภาสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ได้ตีพิมพ์รายงานชื่อ Banking on Death Trade How Banks and Governments Enable the Military Junta in Myanmar มีสาระสำคัญคือ ระบบธนาคารของไทยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ในเมียนมา รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลเมียนมาได้หลีกเลี่ยงการตรวจสอบ จนซื้ออาวุธไปใช้สังหารประชาชนชาวเมียนมาผ่านระบบธนาคารของไทย โดยแต่เดิมธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลทหาร
เมียนมา อย่างธนาคาร MFTB และ MICB จะถูกสำนักงานควบคุมทรัพย์สินในต่างประเทศของกระทรวงการคลังสหรัฐ หรือ OFAC คว่ำบาตรตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2023 ทำให้รัฐบาลทหารเมียนมาไม่สามารถทำธุรกรรมเหล่านี้ได้อีกต่อไป
เนื่องจากการทำธุรกรรมจากเมียนมา ซึ่งถูกประกาศเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ตามประกาศของคณะทำงานเฉพาะกิจ เพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงินระหว่างประเทศ (FATF) ธุรกรรมต่างๆ ที่ทำระหว่างไทยกับเมียนมา จะต้องทำมาตรการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (EDD) ตามหลักเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
ซึ่งหลักเกณฑ์หนึ่งคือ ธนาคารจะต้องหาข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพื่อประเมินว่าธุรกรรม
ดังกล่าวมีความเสี่ยงหรือไม่ ซึ่งในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ ยอมรับว่าบัญชี SND ที่ OFAC ประกาศคว่ำบาตร ตลอดจนข้อมูลการคว่ำบาตรของประเทศต่างๆ เช่น สหราชอาณาจักร สหรัฐ ออสเตรเลีย หรืออียู ธนาคารจะต้องนำข้อมูลเหล่านี้มาประกอบการพิจารณาความเสี่ยงในการทำธุรกรรม
ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในรายงานของปี 2024 คือมีธนาคารหนึ่ง มีมูลค่าการทำธุรกรรมเกี่ยวกับเมียนมาเพิ่มสูงขึ้น แต่มีอีกธนาคารหนึ่ง ที่ธุรกรรมเหล่านั้นลดลง ดังนั้น คิดว่าเรื่องนี้สำคัญ เพราะหากพิจารณาจากข้อมูลการคว่ำบาตร ธนาคารฝั่งไทยต้องปฏิเสธการทำธุรกรรม และยุติความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับบริษัทดังกล่าว และการที่กระบวนการตรวจสอบ EDD ของธนาคารไทยลักลั่น ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันแบบนี้ จะส่งผลต่อมาตรฐานทางการเงินของไทยหรือไม่
ทั้งที่ปี 2027 ไทยจะถูก FATF ประเมินว่าระบบธนาคารของไทยยังได้มาตรฐานหรือไม่ ยังไม่นับรวมว่ารัฐบาลทหารเมียนมาได้เปลี่ยนมาใช้บริษัทที่ยังไม่ถูกคว่ำบาตรจาก OFAC เพื่อทำธุรกรรมกับธนาคารของไทย รวมทั้งเปิดบริษัทนายหน้า ซึ่งในรายงานปี 2024 ระบุว่าบริษัทไทยอย่างน้อย 2 บริษัท อาจเป็นนอมินีของรัฐบาลทหารเมียนมา ถูกนำมาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ และในส่วนของธนาคาร ปรากฏชื่อของธนาคาร MEB และ MADB ที่รัฐบาลทหารเมียนมาเลือกใช้บริการแทนธนาคารที่ถูกคว่ำบาตร โดยที่ธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งที่เป็นธนาคารของไทย ยอมรับใน กมธ.ความมั่นคงฯ ว่าบัญชีของ MEB ยังเคลื่อนไหวอยู่ในปัจจุบัน แต่มีมูลค่าไม่มาก ซึ่งเรื่องมีมูลค่ามากหรือน้อย ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือมีการใช้ธุรกรรมลักษณะนี้ ในการไปเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ผ่านระบบธนาคารของพวกเรา
ดังนั้น ไทยจึงไม่ควรมีความสัมพันธ์ หรือสานสัมพันธ์ เพราะกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทยในเวทีนานาชาติ คำถามคือ ความชัดเจนด้านนโยบายของรัฐบาลในเรื่องนี้ จุดยืนคืออะไร และในการประชุม กมธ.ความมั่นคงฯที่ผ่านมา เราได้รับสัญญาณบวกจากหน่วยงานต่างๆ ที่มีหน้าที่ในการกำกับดูแล เราพบว่าหลายหน่วยงานตั้งใจที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ และเป็นการส่งสัญญาณที่บวกมาก ประเด็นปัญหาคือ แม้จะตั้งใจ แต่หากรัฐบาลไม่สามารถให้คำยืนยัน หรือมีข้อสั่งการที่ชัดเจนไปยังหน่วยงานต่างๆ ให้ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง และทบทวนกฎเกณฑ์ที่มี หน่วยงานต่างๆ ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาอย่างที่ควรจะเป็นได้
ผมเชื่อว่าหน่วยงานของรัฐ พร้อมที่จะสนองนโยบายของรัฐบาลเต็มที่ เพื่อแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และเพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลทหารเมียนมา ใช้ธุรกรรมทางการเงินของไทยซื้ออาวุธไปใช้สังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ ผมจึงอยากทราบว่ารัฐบาลจะมีมาตรการอะไรต่อจากนี้ รวมถึงที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินการอะไรไปแล้วบ้าง เพื่อตรวจสอบรายชื่อบริษัทที่ปรากฏในรายงานดังกล่าว และได้ตรวจสอบไปแล้วหรือไม่ หากตรวจสอบแล้วมีผลการตรวจสอบอย่างไร
เพราะถ้าดูตัวเลขที่ออกมา จากเดิมการจัดซื้ออาวุธที่ทำผ่านบริษัทไทย 60 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปีงบ 2022 เพิ่มขึ้น 100% เป็น 130 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปีงบ 2023 โดยมีธนาคารประมาณ 5 แห่งของไทย เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ซึ่งรัฐบาลที่แล้วเคยงดออกเสียงให้กับที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ หรือยูเอ็นจีเอ เมื่อปี 2021
แน่นอนว่าจุดยืนลักษณะแบบนั้น ทำให้เกิดคำถามว่า ตกลงแล้วไทยในวันนี้ ในรัฐบาลใหม่ที่มีนายกฯชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน จะมีจุดยืนอย่างไร
อยากให้ความชัดเจนว่าจุดยืนของรัฐบาลนี้ ที่จะไม่สนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับรัฐบาลทหารเมียนมา จะเป็นจุดยืนแบบนี้ใช่หรือไม่