เคล็ดลับชัยชนะบนเวทีดีเบต โดนัลด์ ทรัมป์ VS คามาลา แฮร์ริส

เคล็ดลับชัยชนะบนเวทีดีเบต
โดนัลด์ ทรัมป์ VS คามาลา แฮร์ริส

วันที่ 10 กันยายน 2024 จะเป็นครั้งแรกที่ อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และ รองประธานาธิบดี คามาลา แฮร์ริส จะได้มาพบกันบนเวทีดีเบต ที่เมืองฟิลาเดเฟีย

การดีเบตครั้งนี้มีความสำคัญ และมีความแตกต่างจากครั้งแรกที่โดนัลด์ ทรัมป์ พบกับประธานาธิบดี โจ ไบเดน เพราะครั้งนี้ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียง มีความคาดหวังสูงกว่าเดิมมากในการรอติดตามชมผลงานของทั้งสองคนบนเวที และเหลือเวลาอีกเพียง ไม่ถึงสองเดือนที่จะมีเวลาให้ตัดสินใจว่าจะโหวตใคร

หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศถอนตัวจากการลงสมัครเลือกตั้งชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐ นางคามาลา แฮร์ริส ได้รับการสนับสนุนอย่างมาก ทั้งจากพรรคเดโมแครต และแรงสนับสนุนจากประชาชนที่บริจาคเงินให้พรรค และจากผลสำรวจของหลายสำนัก ชี้ให้เห็นว่า นางคามาลา แฮร์ริส มีคะแนนความนิยมตีตื้นขึ้นมาสูงกว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จากที่ก่อนหน้านี้ผลโพลส่วนใหญ่ โดนัลด์ ทรัมป์ มีคะแนนนำ โจ ไบเดน มาตลอด การดีเบตในครั้งนี้ คนส่วนใหญ่จึงจับจ้องไปที่ นางแฮร์ริส เพราะเป็นการขึ้นดีเบตครั้งแรกของเธอในฐานะผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี จากพรรคเดโมแครต ดังนั้น ในช่วงเวลา 90 นาที ของการดีเบต คือโอกาสที่สำคัญให้การแสดงศักยภาพของเธอ สิ่งที่คนรอฟัง คือ นโยบาย แผนงานต่างๆ ที่ชัดเจนขึ้น ที่เธอตั้งใจจะทำเมื่อได้เป็นประธานาธิบดี และในเวลาเดียวกันนางคามาลา อาจจะใช้เวลาเพื่อแสดงให้เห็นผลงานของเธอที่ผ่านมา และเธอจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่จะสานต่อนโยบายของประธานาธิบดีไบเดนต่อไป ส่วนที่เหลืออาจจะเป็นช่วงเวลาที่นางคามาลา แฮร์ริส จะโจมตี โดนัลด์ ทรัมป์ ในประเด็นต่างๆ เช่น ในสมัยที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้แต่งตั้ง
ผู้พิพากษาศาลสูงสหรัฐฯ 3 คน และในปี 2023 คำตัดสินคดี Roe v. Wade ซึ่งคุ้มครองสิทธิทางเลือกในการทำแท้งทั่วสหรัฐอเมริกา ก็ถูกพลิกคำตัดสิน ทำให้มีคำสั่งให้รัฐต่างๆ ยกเลิกการคุ้มครองสิทธิในเรื่องนี้ คามาลาอาจนำเรื่อง Project 2025 มาโจมตีทรัมป์ที่อาจจะมีแผนการให้เพิ่มอำนาจประธานาธิบดีให้มากขึ้นหากชนะการเลือกตั้ง ซึ่งก็เป็นประเด็นเดียวกับโจ ไบเดน พูดถึงอันตรายของ Project 2025 ว่าจะทำลายสหรัฐอเมริกา และอีกประเด็นคือ การที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีอาญาร้ายแรง หรือประเด็นนโยบายของทรัมป์อื่นๆ ที่ล้มเหลว

Advertisement

สำหรับ โดนัลด์ ทรัมป์ แฮร์ริสอาจจะเป็นคู่ดีเบตที่เอาชนะยากกว่า โจ ไบเดน การโต้วาทีกับไบเดน ทรัมป์ยกเรื่องที่มาจากข้อมูลเป็นเท็จมาใช้โจมตี ซึ่งก็ไม่ได้ถูกทักท้วง แต่ครั้งนี้มีความเป็นไปได้ที่แฮร์ริส จะโต้กลับด้วยข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง และนำนโยบาย และสิ่งที่ โดนัลด์ ทรัมป์ได้ทำลงไป มาเล่นงาน ซึ่งก็คาดการณ์ได้ว่าถ้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไปต่อไม่ได้ โดนัลด์ ทรัมป์ ก็กลับไปใช้วิธีที่ตัวเองถนัดที่สุดคือ การโจมตีส่วนบุคคลกลับ โดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะพยายามนำประเด็นที่เคยทำให้ ไบเดน สูญเสียความนิยมไปกลับมาใช้กับคามาลา แฮร์ริส ด้วย เช่น ปัญหาเงินเฟ้อ การให้ความช่วยเหลือแก่ยูเครน ปัญหาในกาซา ปัญหาความมั่นคงบริเวณชายแดน ซึ่งก็จะเป็นการชี้ให้เห็นว่า แฮร์ริสยังไม่พร้อมจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งด้วยตำแหน่งนี้ เธอก็ยังไม่เข้มแข็งพอที่จะเป็น
ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองทัพสหรัฐเช่นกัน ในเวลาเดียวกันการดีเบตครั้งนี้ก็จะเป็นโอกาสให้ ทรัมป์ ทำให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนในกลุ่มที่ยังไม่รู้จะโหวตให้ใคร มั่นใจว่าเขามีความกระตือรือร้นอย่างยิ่งที่สร้างงาน นำงานกลับมาให้กับประชาชน

ประเด็นการดีเบตประเด็นหลัก คงเป็นเรื่องเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องค่าครองชีพที่สูง และทั้งสองฝ่ายก็คงจะนำเสนอ

Advertisement

นโยบายที่เตรียมไว้ เช่น เรื่องภาษี สวัสดิการเรื่องสุขภาพของประชาชน เป็นต้น เพราะขณะนี้ดูเหมือนทั้งคู่จะมุ่งให้ความสนใจไปที่กลุ่มผู้ใช้แรงงาน

คงต้องยอมรับว่าการดีเบตครั้งนี้ นางคามาลา แฮร์ริส จะตกอยู่ในสปอตไลต์ มากกว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ช่วงชิงเวทีไว้ได้เสมอ การที่คนจับจ้องเธอมากกว่าถือว่าเป็นข้อดี แต่ข้อเสียคือถ้าเธอทำได้ดี ก็จะได้คะแนนความนิยมเพิ่มขึ้น แต่ถ้าพลาด ก็จะทำให้ผู้สนับสนุนผิดหวังซึ่งจะส่งผลต่อคะแนนโหวตในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนนี้ ดังนั้น หมายถึง ณ เวลานี้ เธอจึงอยู่ในสถานการณ์กดดัน และนอกจากนั้นยังมีข้อกังขาในตัวเธอถึงเรื่องความเป็นผู้นำอีกด้วย ดังนั้นครั้งนี้จึงเป็นโอกาสครั้งสำคัญของเธอที่ต้องทำให้ได้ และทำได้ดีเท่านั้น

ส่วนโดนัลด์ ทรัมป์ แม้ว่าในเวทีนี้เขาจะโต้วาทีได้แย่แค่ไหน รวมถึงอาจมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว หลีกเลี่ยงการตอบคำถาม ตอบไม่ตรง นำข้อมูลเท็จมาโจมตี ก็คงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ทุกคนคุ้นชินกันไปแล้ว แต่สิ่งที่ทรัมป์อาจจะทำได้ดีกว่า คือ เขาสามารถใช้เวทีนี้เรียกคะแนนความนิยมจากผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับทิศทางการบริหารประเทศที่ผ่านมา และโชว์ผลงานเด่นๆ ที่ตัวเองเคยทำไว้ในสมัยที่เป็นประธานาธิบดี ซึ่งเป็นผลงานที่เกิดขึ้นแล้วจริง ต่างกับแฮร์ริส ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์อย่างเขา แม้ว่าช่วงเวลานี้จะเป็นโค้งสุดท้ายของการเตรียมตัวเพื่อการดีเบต แต่วันที่ดีเบต อาจมีสิ่งที่ไม่เหมือนกับที่ซักซ้อม ไม่ได้อยู่ในแผนการไว้เลยก็ได้ ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับไหวพริบ และความสามารถในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของผู้ดีเบต และตรงนี้จะเป็นสิ่งที่วัด และตัดสินว่าใครจะมี performance ที่เหนือกว่า

ในอดีตที่ผ่านมา ผลของการโต้วาทีระหว่างแคนดิเดต ทั้งสองฝ่าย ส่งผลกระทบต่อความคิด การตัดสินใจของผู้มีสิทธิลงคะแนน และต่อผู้สนับสนุนไม่มากนัก แต่การเลือกตั้งสหรัฐ ในปี 2024 นี้ มีแนวโน้มจะเปลี่ยนไป ปัจจุบัน ประชาชนเข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร ได้ง่ายมากขึ้น จากสื่อสังคมออนไลน์ สื่อต่างๆ อันเป็นผลจากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า การติดตามข่าวการเลือกตั้ง การดีเบต จึงไม่ใช่เรื่องยาก ด้วยสาเหตุนี้ ในการโต้วาที ระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ กับ โจ ไบเดน จึงแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าแตกต่างไปจากเดิม เมื่อโจ ไบเดน ทำผลงานได้ไม่ดีบนเวที ผลลัพธ์ที่ตามมาคือเกิดการวิพากษ์วิจารณ์จากคนจำนวนมากที่ชมการดีเบต คำวิจารณ์ในเชิงลบขยายวงกว้างออกไป จนในที่สุดไบเดนถูกกดดันให้ถอนตัว ดังนั้น การดีเบตในครั้งนี้ระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ และคามาลา แฮร์ริส จึงมีความสำคัญและอาจมีผลกระทบต่อการตัดสินใจของประชาชนคนอเมริกันผู้ที่จะไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ก็เป็นได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image