วิพากษ์ ‘บิ๊กตู่’ งัด ม.44 เด้ง ‘สมชัย’ พ้น กกต.

หมายเหตุ – ความเห็นนักวิชาการ และนักการเมือง ต่อกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงนามในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2557 มาตรา 44 สั่งให้ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร พ้นจากตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา


องอาจ คล้ามไพบูลย์
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

การใช้มาตรา 44 ของหัวหน้า คสช. เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระน่าจะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะองค์กรอิสระก็ควรมีอิสระตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้ ถึงแม้ว่านายสมชัยจะมีบทบาทแสดงความคิดเห็นต่อประชาชน บางครั้งอาจมากกว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คนอื่น แต่โดยทั่วไปถือเป็นสิทธิของนายสมชัยในฐานะเป็น กกต. และส่วนมากที่ติดตามนายสมชัยก็พูดอยู่ในกรอบการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ กกต. เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง โรดแมป หรืออาจจะเกี่ยวข้องกับกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ 4 ฉบับที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง

ถึงแม้ว่าขณะนี้จะทำให้ กกต.เหลืออยู่ 4 คน ส่วนตัวคิดว่าจะสามารถทำหน้าที่บริหารจัดการเลือกตั้งได้ ในแง่การทำงานคงไม่มีอุปสรรค แต่ในแง่หลักการอาจจะไม่เหมาะที่ คสช.ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ดำเนินการ เพราะอาจก่อให้เกิดความวิตกกังวลต่อคนทั่วไปได้ว่า ในเมื่อมาตรา 44 ยังใช้ได้ต่อไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ ก็หมายถึงมาตรา 44 ใช้ไปถึงช่วงหลังการเลือกตั้งด้วย ซึ่งก่อให้เกิดความไม่มั่นใจว่าจะมีการใช้มาตรา 44 ดำเนินการกับองค์กรอิสระใดๆ หรือกับ กกต.อีกหรือไม่ เพราะถ้าใช้ก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเลือกตั้งยาวถึงหลังเลือกตั้งจนมีรัฐบาลใหม่ได้ เพราะอาจมีกรณีเช่นเดียวกับนายสมชัย

ส่วนการที่ กกต.ที่เหลือ 4 คน จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่นั้น ผมคิดว่า กกต.ที่เหลือคงทำหน้าที่ได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่อีกไม่นานก็มี กกต.ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ต่อ ส่วนพรรคการเมืองก็ไม่ได้วิตกกังวลอะไรกับการทำงานของ กกต.ที่เหลือ และเห็นว่าควรทำงานไปตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ และเชื่อว่า กกต.ทั้ง 4 คน คงต้องทำงานเต็มกำลังตามความสามารถจนกว่าจะมี กกต.ชุดใหม่เข้ามา

Advertisement

 

แฟ้มภาพ

ชัยเกษม นิติสิริ
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พรรคเพื่อไทย

ความจริงเรื่องนี้ต้องบอกว่าผมค่อนข้างจะตกใจเหมือนกัน ดังนั้น ถ้ามองเร็วๆ สะท้อนว่า ถ้าถูกใจอยู่ด้วยกันได้ แต่ถ้าไม่ถูกใจก็ต้องไป แต่ความถูกต้องเหมาะสมไม่ต้องไปพูดถึงหรอกเพราะว่าคนที่ใช้มาตรา 44 เท่าที่ผ่านมาผมไม่ค่อยเห็นความถูกต้องเหมาะสมในการใช้มาตรา 44 มานานแล้ว การที่มีบทเฉพาะกาลไว้ถ่ายรัฐธรรมนูญผมก็ไม่เคยเห็นด้วยที่จะใช้มาตรา 44 ได้ต่อไป เพราะความจริงแล้วเมื่อมีรัฐธรรมนูญแล้วก็ควรทำทุกอย่างให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แต่นี่กลับใช้มาตรา 44 กันเรื่อยมา ทั้งที่เมื่อร่างกฎหมายเสร็จเรียบร้อยแล้ว กฎหมายเป็นกฎหมายโดยสมบูรณ์แล้วก็เอามาตรา 44 ไปแก้ แบบนี้คือความไม่ถูกต้องทั้งนั้น อย่างไรก็ตามขณะนี้มันเลยเวลาแล้ว ไม่ควรจะทำ แต่เราเห็นทำมาตลอด ดังนั้นเรื่องนายสมชัยนั้น เหตุผลเดียวคือแสดงว่าไม่ถูกใจเพราะหากถูกใจ กกต.ก็คงไม่ถูกเซตซีโร่

ขณะนี้ระหว่างที่รอการเซตซีโร่ รอกระบวนการทั้งหลาย เมื่อยิ่งทำอะไรที่ไม่ถูกใจมากขึ้นก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ เหตุผลก็มองได้เท่านี้เองในฐานะคนที่ยังคงนึกตลอดเวลาว่าเป็นรัฏฐาธิปไตย มีมาตรา 44 ทำอะไรก็ได้ แต่ส่วนตัวผมมองว่าคนช็อกกันทั้งประเทศที่ใช้มาตรา 44 ดำเนินการอะไรเช่นนี้ เพราะแม้คนอาจจะไม่ชอบนายสมชัยบ้าง เพราะท่านพูดค่อนข้างจะโผงผาง ส่วนตัวของผมเองก็ไม่ค่อยนิยมท่านเท่าไหร่ตั้งแต่ท่านออกมาบอกว่าเอียงเพื่อชาติ ฯลฯ

Advertisement

แต่มันก็คนละเรื่องกับการที่จะใช้อำนาจของเผด็จการไปตัดสินใจทำอะไรแบบนี้ ผมมองว่าทำแบบนี้กระเทือนไปทั่ว ผมมองว่าความจำเป็นที่จะใช้มาตรา 44 มันไม่ถึงขนาดนั้น และที่ออกมาแบบนี้เท่าที่เห็นคือความไม่พอใจที่นายสมชัยออกมาพูดอะไรที่กระเทือนใจผู้มีอำนาจที่กำลังบริหารงานอยู่ในขณะนี้มากกว่า


 

ดร.ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร

ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร
คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ม.เชียงใหม่

มองว่าช่วงก่อนเลือกตั้ง รัฐบาลหรือ คสช.มีความหวั่นไหวเกี่ยวกับการเลือกตั้งพอสมควร การวางตัวหรือการให้สัมภาษณ์ในหลายกรณี อาจถูกมองว่าไม่เป็นผลดีต่อ คสช.ในปัจจุบันและอนาคต พูดง่ายๆ ว่าจุดมุ่งหมายของการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นมีความไม่มั่นใจว่าจะได้รับชัยชนะ เพราะมีปัจจัยแทรกซ้อนเยอะมาก มาสเตอร์แพลนที่มองว่าจะอยู่ต่อ จะสร้างพรรคการเมืองต่อไป ไม่ได้หมายความจะชนะ 100 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้คือขาลงของ คสช. ปัจจุบันปัจจัยที่ทำให้ คสช.สืบทอดอำนาจไม่ได้ราบรื่นเสมอไปแล้ว

สิ่งที่สะท้อนไปมากกว่านั้นคือ เครือข่ายไม่ได้มีประสิทธิภาพเพียงพอ เครือข่ายเก่าเริ่มถูกปลดระวางค่อนข้างเยอะ กองเชียร์ก็เริ่มน้อยลง นายสมชัยเองก็ดูเหมือนเป็นกองเชียร์ด้วยเช่นกัน ตอนนี้พันธมิตรเดิมของ คสช.นอกจากจะไม่เป็นกองเชียร์แล้ว ยังกำลังจะกลายเป็นขั้วตรงข้ามกับ คสช.ในอนาคตด้วยหรือไม่ ฉะนั้นเลยต้องถอนแต่ละส่วนออกไป

ถามว่าผู้มีอำนาจที่ไม่พอใจนายสมชัยนั้นจะตีความว่าเป็นใคร ส่วนตัวคิดว่าไม่ได้เป็นตัวบุคคล เพราะเวลาตัดสินใจต้องทำกันเป็นหมู่คณะอยู่แล้ว

ส่วนการปลดนายสมชัยจะทำให้ กกต.ขาดปากเสียงหรือไม่นั้น ถ้ามองจากหน้าที่ของ กกต.แล้ว พบว่าเมื่อถูกแช่แข็งในช่วงที่มี คสช.เป็นต้นมา บทบาท กกต.แทบจะเป็นงานที่เกี่ยวกับพวกเอกสารเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม แท้จริงแล้วหน้าที่ กกต.มี 2 แบบ ได้แก่ หน้าที่ในแง่ของการจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปตามระบบของกฎหมาย และอีกหน้าที่หนึ่งของ กกต.ที่คนพูดถึงน้อยมากคือการรณรงค์ให้คนออกมาใช้สิทธิในการเลือกตั้ง รวมถึงการประชาสัมพันธ์การเลือกตั้ง สำหรับการไต่สวนการทุจริตการเลือกตั้ง แน่นอนว่าตามกฎหมาย กกต.ที่มีอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศสามารถทำงานได้ตามกลไก แต่หน้าที่หลักของ กกต.ในอนาคตคือการรณรงค์ให้ประชาชนสนใจการเลือกตั้งนั้น ถามว่าจะเอาใครมาแทน ถ้ามองในปัจจุบัน การรณรงค์ซึ่งเป็นกลไกหลักของ กกต.จะเริ่มมีปัญหา จะหาใครที่พอจะมีความน่าเชื่อถือและดึงให้คนในสังคมสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้

ส่วนประเด็นต่ออายุ 4 คนที่เหลือ มองว่าในอนาคตแรงกดดันจะไปอยู่ที่ 4 คนนี้ กกต.เคยมีปัญหามาโดยตลอดคือการไม่ถูกกันใน กกต.เองเชื่อว่าอาจเกิดคำถามต่อ 4 คนนี้เหมือนกันว่า ในการที่จะทำให้การเลือกตั้งในอนาคตเป็นไปด้วยความยุติธรรม จะให้ กกต.เป็นกลางอย่างไร ต่อไปคำถามจะเริ่มพุ่งไปยัง 4 คนนี้ ถ้ามองว่าสมชัยถูกปลดเพราะพูดผิดหู แล้วคน 4 นี้จะกล้าพูดผิดหูด้วยไหม


 

ฐิติพล ภักดีวานิช
คณบดีคณะรัฐศาสตร์ ม.อุบลราชธานี

จริงๆ คิดว่าการปลดนายสมชัยออกไม่ได้ส่งผลต่อการเลือกตั้ง มองว่านายสมชัยไม่ได้มีจุดยืนต่อการเลือกตั้งหรือส่งเสริมประชาธิปไตยอยู่แล้ว มองว่าควรเปลี่ยนตัว กกต.ตั้งนานแล้ว ก็อย่างที่เราเห็นที่ผ่านมาช่วงที่ก่อนมีรัฐประหาร ช่วงที่มีการจัดการเลือกตั้ง นายสมชัยก็ไม่ได้แสดงให้เห็นเลยว่าสนับสนุนระบบอุดมการณ์ทางประชาธิปไตย หรือการเลือกตั้งเป็นกลไกที่จะแก้ไขปัญหาทางการเมืองในขณะนั้น จริงๆ มองว่าไม่มีผลด้านลบต่อการทำงานของ กกต. แต่คำถามก็คือว่าคนที่จะตั้งมาใหม่ที่ตั้งโดย คสช. มองว่ามันก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อระบบการเลือกตั้งหรือพัฒนาประชาธิปไตย

ในส่วนของการใช้อำนาจมาตรา 44 เป็นการแสดงให้เห็นว่าเป็นการใช้อำนาจที่ฟุ่มเฟือย แสดงให้เห็นการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จของตัวผู้นำ ซึ่งมันก็ไม่ได้สะท้อนถึงการพยายามปรับตัวเข้าไปสู่ระบบประชาธิปไตย ทางมาตรา 44 มองว่าเป็นเรื่องของการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จมากกว่า ซึ่งไม่เหมาะกับระบอบประชาธิปไตย และไม่จำเป็นใช้มาตรา 44

ในส่วนของ กกต.ที่เหลือ 4 คน ถ้าสมมุติว่า คสช.ไม่มีความชัดเจนในการเลือกตั้ง ใช้มาตรา 44 ในการปลดนายสมชัย แต่ปัญหาก็คือหลายๆ อย่างถูกตั้งคำถามจะนำไปสู่กระบวนการทำให้การเลือกตั้งช้าลงหรือเปล่า ซึ่งมองว่าสุดท้ายแล้วการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าจะมีหรือไม่ต้องอยู่ที่ความตั้งใจของ คสช. และด้วยเหตุอะไรก็ตามก็อาจจะเป็นเงื่อนไขของการเลื่อนการเลือกตั้งได้ มองว่าจะเป็นอุปสรรคในการเลือกตั้ง เพื่อที่จะให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าจะไม่มีการเลื่อนเลือกตั้งอีก เพราะว่าที่ผ่านมาก็มีการเลื่อนแล้วเลื่อนอีก ไม่มีอะไรที่เป็นหลักประกัน เป็นเหมือนแค่คำประกาศ

จากกรณีนี้สะท้อนให้เห็นในสิ่งที่ คสช.ทำมาตลอดซึ่งต้องการคนที่เห็นด้วยไม่ขัดขวาง หรือทำตามอย่างที่ คสช.ต้องการ จะมีบ้างที่มีคนออกมาพูดถึงวิพากษ์วิจารณ์ถึง คสช.บ้าง ประเด็นนี้หลายคนแสดงให้เห็นถึงการตื่นตัว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า คสช.ต้องการแค่คนที่ทำงานที่เห็นด้วยกับ คสช.เท่านั้น สอดคล้องในเรื่องของการใช้อำนาจที่เบ็ดเสร็จของ คสช. สะท้อนให้เห็นว่าไม่ยอมรับความเห็นที่แตกต่าง เพราะมองว่าจะเป็นอันตรายต่อในอนาคต การเดินทางไปสู่ประชาธิปไตยที่ คสช.ต้องการพัฒนาประชาธิปไตย เป็นประชาธิปไตยหลังการเลือก แต่สิ่งที่ทำอยู่เรื่อยๆ มันไม่ได้สะท้อนให้เห็นการวางโครงสร้างเพื่อที่จะให้ประชาธิปไตยเดินไปได้

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image