ไม่ว่าจะมีการพูดที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ไม่ว่าจะมีการพูดที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อย่างน้อยมี 3 พรรคการเมืองที่เห็นตรงกัน
จำเป็นต้องแก้ไข “รัฐธรรมนูญ”
นั่นก็คือ พรรคเพื่อไทย นั่นก็คือ พรรคชาติไทยพัฒนา และโดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่ เสนอให้นำเอาบทเรียนและความจัดเจนของ “ส.ส.ร.” เมื่อปี 2538 มาใช้
บทสรุปเช่นนี้สะท้อนอะไร
สะท้อนให้เห็นว่า สังคมเริ่มมีความเห็น “ร่วม” ตั้งแต่แรกที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ประกาศและบังคับใช้ว่ามีปัญหา
เป็นปัญหาทั้ง “ก่อน” และ “หลัง” การเลือกตั้ง
และยิ่งทอดระยะเวลาของการเลือกตั้งในกระสวนแห่งการยื้อ ถ่วง หน่วง ออกไปเนิ่นนานเพียงใด ปัญหาอันเนื่องจาก “รัฐธรรมนูญ” ก็ยิ่งปรากฏ
กระทั่งมั่นใจว่าเกิดจากการวางกับดัก
ต้องยอมรับความเป็นจริงพื้นฐานประการหนึ่งว่า รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เกิดจากบทสรุปที่ว่ารัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549
เป็นรัฐประหาร “เสียของ”
ประจักษ์พยานของความเชื่อเช่นนี้มาจาก 1 การยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 และในเบื้องต้นก็สถาปนารัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557
เพื่อเป็นรากฐานไปสู่ 1 รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560
ยุทธศาสตร์ของรัฐธรรมนูญอันสัมผัสได้จากรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว กระทั่งรัฐธรรมนูญฉบับถาวรยังดำรงความมุ่งหมายเดิม
นั่นก็คือ ทำลายพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย
กฎกติกาทุกอย่างอันดำรงอยู่ภายในบทบัญญัติของ “รัฐธรรมนูญ” ล้วนพุ่งปลายหอกไปยังเป้าหมายนี้ในทางการเมือง
แต่ยิ่งวาง “กับดัก” ก็ยิ่งติด “กับดัก”
ถามว่าทำไมเมื่อมีการประกาศและบังคับใช้ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตั้งแต่เดือนตุลาคม แต่ก็ยังจำเป็นต้องออกคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 53/2560
สร้างความชอบธรรมให้กับการยืดเวลา “ปลดล็อก” พรรคการเมือง
ไม่เพียงแต่บทบัญญัติของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองไม่สามารถปฏิบัติได้ในทางเป็นจริง ทั้งๆ ที่ประกาศและบังคับใช้มาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560
เพราะว่าแม้กระทั่ง “พรรค คสช.” ก็ต้องติดอยู่ใน “กับดัก”
สัมผัสได้จากการร้องเรียนของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประสานเข้ากับการร้องเรียนของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน
ยิ่งใกล้เวลาแห่ง “การเลือกตั้ง” ยิ่งเกิดความหงุดหงิด
เพราะไม่เพียงแต่ไม่สามารถสร้างโอกาสเพื่อเอาชนะพรรคเพื่อไทยได้ หากแม้กระทั่งเมื่อผ่านการเลือกตั้งไปแล้ว โอกาสของนายกรัฐมนตรี “คนนอก” ก็ยาก โอกาสของการบริหารก็ยาก
นับวัน “กับดัก” จะยิ่งปรากฏตลอด 2 รายทาง
ความหงุดหงิดที่บังเกิดต่อ “รัฐธรรมนูญ” จึงมิได้มาแต่จากพรรคเพื่อไทย หากแม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา ก็หงุดหงิด
เป็นไปได้ว่า ภายใน “คสช.” เองก็เริ่มมองเห็น
สายตาจึงทอดมองไปไม่เพียงแต่ต่อ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ที่เคยมีบทบาทในการยกร่าง หากแม้กระทั่งคนอื่นๆ ก็เริ่มไม่มั่นใจเสียแล้วว่าทำไมต้องทำเช่นนี้
หวังดี หรือว่าประสงค์ร้ายกันแน่