‘นคร มาฉิม’ เปิดใจ! โชว์จุดยืนปชต. ไม่หวั่นโดนฟ้อง พร้อมตั้งพรรคเล็ก สู้อย่างโดดเดี่ยว

กรณีที่นายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ในวันคล้ายวันเกิดนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีใจความโดยสรุป เปิดโปงถึงขบวนการล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทย พรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย โดยมีแนวร่วมฝ่ายอนุรักษนิยม พร้อมทั้งกลุ่มทุน เครือข่าย นายทุน กลุ่มขุนศึก และเครือข่ายข้าราชการ จนเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ได้รับความสนใจจากประชาชน กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ตอบโต้นายนคร และจะมีการฟ้องร้องนั้น

ล่าสุด วันนี้ (3 ส.ค.) ที่ จ.พิษณุโลก นายนครได้ให้สัมภาษณ์เปิดใจถึงเส้นทางการเมืองที่ได้แจ้งเกิดกับพรรคประชาธิปัตย์ กระทั่งฟางเส้นสุดท้ายลาออกจากบ้านเก่า พร้อมประกาศอยู่คนละขั้วกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 

โดยนายนครเล่าย้อนไปในช่วงที่รัฐธรรมนูญปี 40 บังคับใช้ ที่มีการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ โดยได้รับการทาบทามจากนายโกศล ไกรฤกษ์ บิดาของนายจุติ ไกรฤกษ์ ให้มาลงสมัครใน จ.พิษณุโลก เพราะไม่มีคนลงและเป็นบ้านเกิด จึงตัดสินใจลง โดยมีโอกาสมาลงสมัคร ส.ส.ในช่วงปลายปี 2543 ที่พรรครัฐบาลที่มีนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ลงเขต อ.นครไทย อ.ชาติตระการ และ อ.วังทอง มีเวลาหาเสียง 90 วัน จึงวางแผนลงหาเสียงทุกชั่วโมง บอกว่า ผมเป็นลูกชาวบ้าน ทำงานด้านกฎหมาย เป็นที่ปรึกษากฎหมาย เป็นหัวหน้าสำนักงานทนาย เราอยากใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ที่ทุกข์ยากลำบากมาทำงานรับใช้พี่น้องบ้านเรา เพื่อที่จะให้พี่น้องกินดีอยู่ดีขึ้น ประชาชนให้โอกาส

“ผมเองก็งง หัวคะแนนก็ไม่มี เงินก็ไม่มี แต่ชนะแบบฉิวเฉียด 200 กว่าคะแนน มีโอกาสมาเป็น ส.ส.ครั้งแรก ดีใจที่สุด ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ราษฎรที่ไหนเดือดร้อนมีปัญหาทุกข์ยากลำบาก ไม่ได้รับความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่รัฐ องค์กรต่างๆ สู้มาตลอด สู้ด้วยหัวใจให้เขา โดยที่ว่าไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใดๆ นำเรื่องความทุกข์ร้อนไปยื่นกระทู้ ไปยื่นมติ ไปอภิปราย ไปยื่นหนังสือถึงส่วนราชการ ทำมา 4 ปีในช่วงที่พรรคไทยรักไทยพีคสุดสุด แต่ผมโชคดี ได้รับโอกาสจากพี่น้องชาวพิษณุโลกมาต่อเนื่องทุกครั้ง ผมถึงบอกว่าสูงสุดในชีวิตของผมแล้ว ของลูกชาวบ้าน ไม่มีอะไรต้องสูญเสียแล้ว ได้เป็น ส.ส.แล้ว ผมพูดจากใจจริงๆ ตายไปไม่ได้เสียดายชีวิตเลยนะ ใช้ชีวิตมาคุ้มแล้ว” นายนครย้อนความหลัง

Advertisement

นายนครยังกล่าวถึงเหตุผลของฟางเส้นสุดท้ายของการออกจากพรรคประชาธิปัตย์ว่า เพราะประชาธิปัตย์บอยคอตเลือกตั้ง เมื่อคุณยิ่งลักษณ์ประกาศยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2557 ประชาธิปัตย์ไม่ส่งลงเลือกตั้ง จึงตัดสินใจออก ไปตายเอาดาบหน้า และแสดงจุดยืนตนเองว่า ต่อให้ตายก็จะไม่ยอมก้มหัวรับใช้เผด็จการ ออกมายังไม่รู้เลยจะไปที่ไหน สุดท้ายก็ได้ลงพรรคชาติพัฒนา และอาศัยพรรคเล็กลงสู้ และก็ชนะได้คะแนนเกือบ 30,000 เพื่อไทยได้แค่ 9,000 ช่วงนั้นประชาธิปัตย์ไม่ลง ก็สู้กับพรรคเพื่อไทยมาตลอด แต่มาถึงจุดหนึ่งแล้วมันตกผลึกทางความคิด ตกผลึกทางการเมือง ได้ตรวจสอบประวัติศาสตร์ทางการเมือง ได้ทำงานวิจัยทางการเมือง ได้ไปสัมผัส

“เพราะเราเป็น ส.ส.มา 4-5 ครั้ง ได้สัมผัสการเมืองทุกพรรคทุกกลุ่มทุกฝ่าย มองเห็นมิติทางการเมืองว่า เราจะเลือกฝั่งไหน จึงตัดสินใจด้วยตัวเองว่า ขอเลือกอยู่ฝั่งประชาชน ขอเลือกอยู่ฝั่งประชาธิปไตย ดีกว่ายศหรือตำแหน่ง ไม่สำคัญเท่ากับได้การรับเกียรติจากประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจ เลยเดินออกมา สู้แบบโดดเดี่ยว และมั่นใจว่าเรายืนอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง ในกระแสของประชาธิปไตย ในกระแสของโลก และปฏิเสธระบอบเผด็จการแบบขาวกับดำ น้ำกับน้ำมันเลย จากนั้นก็ลาออกจากพรรคชาติพัฒนามาได้ 3 ปี แล้วสถานะปัจจุบันยังไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใด”

เมื่อถามว่า ทำไมจึงเลือกแสดงออกในช่วงตรงกับวันเกิดนายทักษิณ ชินวัตร นายนครเล่าว่า วันนั้นผมขับรถจากกรุงเทพฯ มาถึงพิษณุโลกก็เหนื่อยมาก มาดูข่าวก็นึกได้เป็นวันเกิดนายทักษิณ ระหว่างนั้นก็เลยนึกย้อนประวัติศาสตร์และประสบการณ์ของเรา วันนี้เศรษฐกิจมันแย่จริงๆ ประชาชนทุกข์ร้อนมาก เกือบ 5 ปีที่ผ่านมา ใช้งบประมาณแผ่นดินไปเกือบ 20 ล้านล้านบาท ปีนี้บ้านเมืองมีแต่วิกฤต ชาวไร่เดือดร้อน เกษตรกรเดือดร้อน ผู้ใช้แรงงานเดือดร้อน จึงมานึกย้อนยุคบ้านเมืองไทยไม่ไหวแล้ว ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ก็ไปสืบค้นว่าเกิดอะไรขึ้น องค์การการค้าโลก ข้อตกลงทางการค้าในทุกภาคส่วน มหาอำนาจอียู ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น ทุกประเทศที่อยู่ในโลกของประชาธิปไตย เขารังเกียจเรา บอยคอตไม่คบค้าสมาคมกับประเทศที่ปกครองโดยรัฐบาลทหาร นี่จึงทำให้การค้า ลงทุนซบเซา เกิดวิกฤตเป็นยุคข้าวยากหมากแพง

Advertisement

“เมื่อหันกลับมามองการเมือง คุณประยุทธ์ก็โกหกประชาชนมาไม่รู้กี่ครั้ง เช่น บอกกับนายกฯญี่ปุ่นว่า เลือกตั้งปี 2558 บอกกับบันคีมุน เลขาฯยูเอ็นว่า จะเลือกตั้งปี 2559 และก็ไม่ทำตามคำพูด บอกกับนายกฯอังกฤษ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ว่าจะเลือกกุมภาพันธ์ 2562 แต่ดูแนวโน้มแล้ว กำลังหาเหตุที่จะเลื่อนอีก อ้างสถานการณ์มาตลอด คุณประยุทธ์พูดไม่ได้พูดในนาม พล.อ.ประยุทธ์คนเดียว แต่พูดในฐานะนายกรัฐมนตรีของไทย ไปผิดคำพูดต่อสังคมโลกแบบนั้น ทำให้ศักดิ์ศรีของประเทศไทยหายหมด ผมก็เลยมานึกย้อนหลังว่า เราก็มีส่วนหนึ่งในการล้มรัฐบาลทักษิณ ล้มรัฐบาลสมชาย รัฐบาลสมัคร ล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จึงคิดในใจ บอกกับตัวเอง เพราะระดับคุณทักษิณเขาไม่รู้จักผมหรอก ผมเป็น ส.ส.ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ผมไม่เคยติดต่อกับคุณทักษิณ ไม่เคยพูด ไม่เคยคุยกับคุณทักษิณเลย แต่ก็คิดว่า อย่างน้อยที่สุดเรามีส่วนร่วมในฐานะที่ล้มท่าน จึงอยากจะขอโทษในโอกาสวันเกิด”

“จากนั้นจึงลำดับเหตุการณ์มาตามที่ได้โพสต์ เพราะเราเห็น เรายืนยันว่า กระบวนการสมคบคิดทางการเมือง มีทั้งฝ่ายการเมือง ฝ่ายทหาร มีทั้งฝ่ายนายทุน ขุนศึกศักดินา อำมาตย์ ข้าราชการบางคน ภาคประชาสังคมบางคน นี่มันเป็นองคาพยพที่มีพลานุภาพ มีศักยภาพสูง โดยมีเป้าหมายเดียวกัน พวกเขาจึงช่วยกันคิด สร้างวาทกรรมทำลาย ผมจึงกล้าประกาศเลยว่า ใครจะฟ้องร้องผม ใครจะดำเนินคดีกับผม ใครจะเอาผมไปฆ่ารันฟันแทงต่อให้ตาย ผมก็พูดคำเดิมนี่แหละ เพราะนี่เป็นความจริงที่ผมได้สัมผัสมา” นายนครกล่าว 

และว่า “ถามว่า ผมเสียใจไหมที่เพื่อนๆ พี่น้องฝ่ายการเมืองมาประณาม มาหยามเหยียด ดูถูกหาว่าผมทรยศบ้าง เนรคุณบ้าง ไม่รู้บุญคุณคนบ้าง ผมขออนุญาตยกมือท่วมหัวหมด พรรคการเมืองใด รัฐมนตรีท่านใด นักการเมืองท่านใดที่มีบุญคุณต่อผม ผมยกไว้เหนือหัวหมด ไม่เคยเหยียบย่ำ ไม่เคยเนรคุณว่ากล่าวร้ายท่านเลยแม้แต่น้อย แต่ผมเห็นว่า พรรคการเมืองใดก็แล้วแต่ นักการเมืองคนใดก็แล้วแต่ ต่อให้มีบุญคุณท่วมหัวผม ถ้าเกิดว่านักการเมืองท่านนั้น พรรคการเมืองพรรคนั้น ทรยศต่อประชาชน ทรยศต่อระบอบประชาธิปไตย ผมขออยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพวกเขา ส่วนบุญคุณส่วนตัวผมเก็บไว้ไม่ลืม องค์กรที่สร้างผมมาก็จะไม่ลืม แต่ที่เหนือกว่าองค์กร เหนือกว่าชีวิต เหนือกว่าตัวบุคคลอย่างผม คือประชาชนทั้งประเทศ และประชาธิปไตยทั้งระบอบ ที่เราควรจะเดินและร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมแก้ปัญหากัน เราต้องเปลี่ยนโครงสร้างให้เป็นระบอบประชาธิปไตย เป็นโครงสร้างของประชาชน และเพื่อประชาชน คนไหนทำดีประชาชนก็ให้โอกาส คนไหนทำแล้วไม่ดี ประชาชนก็เป็นคนเลือกคนใหม่ 4 ปีถือเป็นกรอบการเลือกตั้งที่เป็นกติกาสากล มันยุติธรรมที่สุด สอดคล้องต้องกันกับระบอบการเมืองการปกครองของโลกมากที่สุด”

ส่วนเรื่องการจะฟ้องร้องของพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายนครยืนยันว่า พร้อมที่จะสู้ สู้ด้วยตัวคนเดียว สู้อย่างโดดเดี่ยว แต่จะมาบังคับให้ผมเปลี่ยนคำพูดไม่ได้ ผมยืนหยัดในความจริง และจะพิสูจน์ให้เห็นว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่ก็ขอย้ำว่า ถ้าคดีไปถึงศาล อดีตนายกรัฐมนตรีที่มาจากการรัฐประหาร ประมาณ 4 คน อดีตรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้า คสช. ขอให้ท่านมาเบิกความเป็นพยานในคดีด้วยแล้วกัน พล.อ.ประวิตร พล.อ.อนุพงษ์ด้วย ให้มาเป็นพยานด้วย ผมยืนยันทุกคำพูดทุกตัวอักษรที่เขียนลงไป

“จุดยืนของผมคืออยู่เพื่อประชาธิปไตย สู้เพื่อประชาธิปไตย ผมต้องการให้สังคมไทยได้พิจารณา ถ้าพรรคการเมืองใดประกาศตนเองว่า สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ สนับสนุน คสช.ให้เป็นนายกรัฐมนตรี ประกาศให้ชัดต่อสาธารณะ และอีกฝ่ายหนึ่งประกาศให้ชัดเลยว่า ถ้าเป็นรัฐบาลจะล้างมรดกบาปทั้งหมด ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ แผนยุทธศาสตร์ชาติของ คสช.ทั้งหมด ล้างให้หมดแล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ ขอประชามติไปด้วยกัน ถ้าประชาชนเลือกให้ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อไป ท่านบริหารต่อไป ผมจะไม่ปริปากว่าเลย เพราะถือว่าเป็นเสียงของประชาชน” 

สำหรับอนาคตทางการเมืองในการจะไปสังกัดพรรคการเมืองใดนั้น นายนครเปิดเผยว่า ขณะนี้มี 5 พรรคที่คุยด้วย และได้พูดคุยกับผู้ใหญ่ของเพื่อไทยมาบ้างแล้ว แต่ยังนิ่งอยู่ รอให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ปลดล็อกทางการเมือง ให้การเมืองได้ขยับเป็นธรรมชาติของการเมืองก่อน ถ้ายังไม่มีพรรคไหนลงจริงๆ ก็อาจจะชวนเพื่อนไปตั้งพรรคเองก็ได้ แต่ถ้าพรรคใดให้โอกาสก็จะไปสู้ร่วม แต่มีเงื่อนไข คือ ต้องไม่เปลี่ยนจุดยืนจากประชาธิปไตยไปอยู่กับฝั่งเผด็จการ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image