‘ชลน่าน ศรีแก้ว’ ตั้งรัฐบาล‘เพื่อไทย’ คว้า253ส.ส.‘แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน’

หมายเหตุ : นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ “มติชน” ถึงทิศทางใหม่ของการเมืองปี 2565 และ อนาคตของพรรคพท.  

  • ในฐานะหัวหน้าพรรค พท. คิดว่าในปี 65 นี้ การเมืองจะสามารถเปลี่ยนไปในแนวทางใหม่ได้อย่างใดบ้าง เพราะวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้นทำให้หลายส่วนได้รับผลกระทบ จากนี้จะเปลี่ยนประเทศไปในทิศทางใหม่ ได้หรือไม่อย่างไร และเราจะฟื้นฟูประเทศหลังโควิดอย่างไร

ถ้าถามว่าปีหน้าการเมืองจะเปลี่ยนไปสู่แนวทางใหม่ได้อย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข 2 เงื่อนไข คือ 1.ไม่มีการเปลี่ยงแปลงใดๆ หมายความว่า รัฐบาลชุดนี้ ครม.ชุดนี้ยังดำรงคงอยู่ไปตามอายุขัยของเขา กับ 2.มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล อันนี้ก็จะเป็นอีกมุมหนึ่งว่า การเมืองในปีหน้าจะเปลี่ยนแปลงไปในทางไหนอย่างไร

เอาเงื่อนไขแรกก่อน คือการเมืองไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลยสำหรับผู้บริหารราชการแผ่นดิน คือตัวผู้บริหารราชการแผ่นดินยังไม่เปลี่ยนแปลง โดยไม่มีอะไรที่จะมาทำให้เขาเปลี่ยนแปลงได้ เขาก็ต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินต่อไปในปี 2565 ตรงนี้เอง บทบาทของพรรค พท.ในฐานะพรรคแกนนำฝ่ายค้านก็คงพยายามทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้พี่น้องประชาชนมีโอกาสที่ดีที่สุด เพราะปีนี้เป็นปีแห่งวิกฤต ทั้งโควิด เศรษฐกิจ การเมือง และความเชื่อมั่น ซึ่งวิกฤตเหล่านี้ประเดประดังเข้ามา รวมถึงวิกฤตเสถียรภาพรัฐบาลที่ค่อนข้างจะง่อนแง่น

โดยรัฐบาลไม่สามารถใช้กลไกบริหารราชการแผ่นดินไปแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน หรือตอบสนองความต้องการควมเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนได้ เขาต้องทนทุกข์ ลำบากแสนสาหัสในทุกมิติ ไม่ว่าจะเรื่องปากท้อง โอกาสในการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ในมิติเชิงสังคม การที่จะสร้างโอกาสไปข้างหน้าของผู้ประกอบการ ฯลฯ ทุกอย่างถูกทำให้อยู่ในภาวะจำยอม ที่ต้องประคับประคองชีวิตของตัวเองไป นี่คือภาพที่เกิดในยุคนี้ ปีนี้ ดังนั้น หากปีหน้าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงต้องเปลี่ยนแปลงให้ดีจากตรงนี้ให้ได้ ถ้ารัฐบาลเป็นชุดเดิมอยู่ พรรค พท.ก็ต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดที่จะตรวจสอบ เสนอแนะ และคอยบอกกับรัฐบาลว่า ควรทำอะไรให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อให้ดีขึ้น นี่คือกรณีที่ 1 ซึ่งเท่าที่ฟังมา ไม่มีใครอยากให้เป็นแบบนี้ พี่น้องประชาชนอยากให้มีการเปลี่ยนแปลงมากกว่านี้

Advertisement

ต่อมาคือเงื่อนไขที่ 2 คือ เปลี่ยนรัฐบาล ซึ่งในความเห็นของคนปกติทั่วไปคือเปลี่ยนไปตามวิถีประชาธิปไตยน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด คือเข้าสู่กระบวนการการเลือกตั้ง ให้พี่น้องประชาชนได้มอบอำนาจในการปกครองประเทศให้กับตัวแทนของพวกเขา ที่เขาคิดว่ามีโอกาสในการเปลี่ยนวิกฤตที่เกิดขึ้นในปีนี้ หรือเปลี่ยนการเมืองในปีนี้ ไปสู่การเมืองใหม่ในปีต่อไป ทั้งนี้ เมื่อเราพูดถึงการเมือง มันคือเรื่องของการใช้อำนาจในการจัดสรรผลประโยชน์เพื่อคืนกลับไปให้พี่น้องประชาชน แต่ก็ไม่แน่ การเปลี่ยนรัฐบาลไม่ได้เกิดขึ้นเพียงการเลือกตั้ง โดยเฉพาะเมืองไทยเราในภาวะที่การเมืองไม่ปกตินี้ อาจจะมีกลไกอื่นเข้ามาเปลี่ยนรัฐบาลก็เป็นได้ เช่น นายกฯลาออก โดยยังคงสภาอยู่ แล้วเลือกนายกฯใหม่ ถามว่าแนวทางนี้รับได้ไหม ผู้คนส่วนใหญ่ก็รับได้นะ เพราะเขาหวังว่า เมื่อมีนายกฯใหม่ หรือมี ครม.ชุดใหม่เข้ามา แม้สภาจะเป็นชุดเดิมอยู่ ก็อาจทำให้กลไกในหารบริหารราชการแผ่นดินดูมีความหวัง มีโอกาส และมีอนาคตให้ประเทศชาติมากกว่า อย่างน้อยดีกว่าเดิมแน่

  • แล้วหมอชลน่านให้น้ำหนักกับแนวทางไหนมากที่สุด

สถานการณ์ขณะนี้พูดยากมาก แนวทางที่ 2 ในการเปลี่ยนตัวนายกฯนั้น กลุ่มที่ครองอำนาจอยู่ในขณะนี้เขาคิดว่าแนวทางนี้น่าจะเหมาะสมกับเขาที่สุด เพราะเขาน่าจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก แค่เปลี่ยนตัวนายกฯ และรัฐมนตรี แต่เขายังสรรหา และใช้กลไกในหารคัดเลือกให้บุคคลที่คิดว่าอยู่ในแนวทางการทำหน้าที่เหมือนกับที่เขาต้องการได้

  • ถ้ามาสู่แนวที่เดินเข้าสู่การเลือกตั้ง วันนี้กติกาเปลี่ยนมาเป็นบัตร 2 ใบ เข้าทางพรรคใหญ่อย่างพรรค พท.ด้วย มีกลยุทธ์ หรือยุทธศาสตร์ในการปรับแผนเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งครั้งที่จะมาถึงนี้อย่างไร

ถ้ามาสู่แนวทางที่มีการยุบสภา แล้วเลือกตั้งใหม่ภายใต้กติกาบัตร 2 ใบ ขณะนี้รัฐธรรมนูญออกมาแล้วต้องเป็นไปตามนั้น รอเพียงกฎหมายลูก ถ้าเป็นแนวทางนี้ หลายคนบอกว่าเข้าทางพรรค พท. จริงๆ แล้วเข้าทางกับทุกพรรค ถ้าสามารถที่จะส่งผู้สมัครครบทั้ง 400 เขตได้ ก็รณรงค์หาเสียงกันนี่ จริงอยู่ว่าการที่จะเลือกมอบอำนาจให้กับพรรคการเมืองไหน หรือบุคคลใดย่อมมีเหตุ มีผล และมีข้อพิจารณาในการที่จะคัดเลือก เราเป็นพรรคการเมืองที่ก่อตั้งมานาน และมีการนำเสนอนโยบาย แล้วนำนโยบายนั่นมาเป็นนโยบายที่คืนกลับให้พี่น้องประชาชน ประชาชนยังจำได้ นึกถึง และยังอยู่ในปัจจุบัน ถ้ามองมุมนี้ พท.ได้เปรียบ และผมประกาศชัดเจนว่า พท.จะส่งผู้สมัครทั้ง 400 เขต และเราคัดเลือกผู้สมัครที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับประชาชน รวมถึงจะส่งบัญชีรายชื่อครบทั้ง 100 คน คัดเอาคนที่พี่น้องประชาชนไว้ใจ มองดูแล้วเห็นว่าชุดนี้น่าจะมาเป็นผู้บริหารประเทศได้เลย โดยแบ่งออกเป็นแต่ละด้าน ไม่ว่าจะด้านสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงด้านเทคโนโลยีต่างๆ เรามีคนครบ พร้อมที่จะเข้ามาทำงาน นี่คือมุมนี้ที่ได้เปรียบ

Advertisement

ถ้าถามว่าเราจะเข้าสู่โอกาสตรงนี้ได้อย่างไร ถ้าเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ ที่ชัดๆ เลยคือ พรรค พท.มียุทธศาสตร์ชัดในการเข้าสู่การเลือกตั้ง นั่นคือ ‘เพื่อไทยแลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน’ เป็นเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ ต้องได้ไม่น้อยกว่า 253 ที่นั่งจึงจะเป็นแลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน มาจากการที่เราต้องการเป็นเสียงข้างมากในสภา จำเป็นที่จะต้องมีเสียงเกินกึ่งหนึ่ง คือ 250 เสียง แต่ที่เรามุ่งเป้าที่ 253 เสียง เพราะเราคิดเผื่อถึงการทำงานด้วย แม้เราได้ 253 เราคงไม่สามารถเป็นรัฐบาลพรรคเดียวได้ เราต้องไปหาพันธมิตร หาเครือข่าย และหาพรรคที่มีอุดมการณ์เดียวกัน แล้วรวมเสียงให้ได้ 300 เสียงขึ้นไป เพื่อเป็นหลักประกันของการทำหน้าที่ในสภา เพื่อเป็นคนออกกฎ ออกระเบียบให้ฝ่ายบริหารเอาไปบริหารประเทศ จะทำหน้าที่ได้อย่างมั่นคง

  • แล้วเหตุใดจึงตั้งเพียง 253 หรือประเมินจากอะไร

ใช้คำว่า 253 ขึ้นไป เป้าหมายขั้นต่ำเราคือ 253 ได้เท่านี้ถือว่าประสบความสำเร็จ ในการที่จะไปหาเครือข่าย หาพรรคที่มีอุดมการณ์ร่วมกันมาทำงานได้ และสามารถป้องกันกลไกที่มีอยู่ในปัจจุบันด้วย เพราะปัจจุบันมีกลไกที่ให้นายกฯมาจากการเลือกของรัฐสภา ซึ่ง ส.ว.มีส่วนร่วมเลือกด้วย ส.ว.เขามี 250 เสียง ทั้งนี้ ขอเพียงว่าเกินกึ่งขึ้นไป การที่ ส.ว. 250 จะมาเทคะแนนให้พรรคที่มีเสียงน้อยกว่าเรามาเป็นรัฐบาล เขาคิดหนัก เพราะเขาไม่มีสิทธิที่จะบริหารได้เลย การที่คุณจะพยายามบิดกึ่งให้เป็นกึ่งอีกทำไม่ได้อีกแล้ว ซึ่งถ้าเราจะได้มากกว่า 253 ก็ยิ่งดี

  • กทม.หวังได้เก้าอี้เพิ่มไหม แล้วพื้นที่ใต้เชื่อว่าวันหนึ่งพท.จะสามารถเอาชนะใจคนใต้จนได้ผู้แทนในพื้นที่ภาคใต้บ้างหรือไม่

ยุทธศาสตร์ที่วางไว้ มั่นใจว่าจะได้เก้าอี้เพิ่ม อย่างภาคใต้เป็นภาคที่ไม่มี ส.ส.เลย แต่เท่าที่ผมได้ลงไปสัมผัส มันมีโอกาส ภาคกลาง และ กทม. ก็มีโอกาส การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ถือว่าเราไม่ได้น้อยจากกลไกวิธีการเลือกตั้งแบบนี้ ยังอยู่ในขั้นที่พอใจ ถามว่าจะมากกว่า 9 ไหมในการเลือกตั้งครั้งหน้า ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจะมากกว่า 9 จากยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง เมื่อกำหนดเป้าหมายชัด ทางเดินเข้าสู่เป้าหมายก็ชัด ทั้งเรื่องนโยบายที่เรามุ่งเน้นขายนโยบายเป็นหลัก เพราะต้องการชี้ให้เห็นว่าวิกฤตที่เป็นอยู่มันจะแก้ได้ด้วยนโยบายที่ชัดเจนเท่านั้น ต่อมาคือ คณะผู้บริหาร เห็นหน้าปุ๊บประชาชนเชื่อมั่น ว่าที่นายกฯ ว่าที่รัฐมนตรี คนทำงานอยู่ในพื้นที่ที่เชื่อมโยงกับพี่น้องประชาชน และทุกภาคส่วน ไปจนถึงกลไกสภาที่เข้มแข็งเรามั่นใจ ว่าบุคคลมีความพร้อม นอกจากนี้ เชื่อว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ ด้วยกลไกใหม่ๆ ที่วางไว้ จะส่งเสริมและขยายความรู้ ความเข้าใจ และการสื่อสารทางการเมืองมีความแจ่มชัดมากขึ้น

  • วันนี้พร้อมทุกอย่างแล้ว อยากรู้ว่า หวั่นไหวต่ออุบัติเหตุทางการเมือง เช่น เรื่องการยุบพรรคหรือไม่

ถามว่าหวั่นไหวไหม ผมเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรค ได้รับคำถามนี้บ่อยมาก จะถูกตัดสิทธิ 10 ปีนะ ผมบอก ผมไม่หวั่นไหว ไม่หวั่นไหวเลย เพราะเรารู้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้คืออะไร และจะเป็นอย่างไร การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอีกทิศทางหนึ่งคือการยึดอำนาจ นี่คือทิศทางที่ 3 ที่เราไม่ได้พูดถึง เพราะเราไม่อยากให้เกิดถามว่าพรรค พท. หวั่นไหวไหมกรณียุบพรรคถ้ามันจะเกิด สมาชิกบางคนในพรรคอาจจะหวั่นไหวเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับผมที่ต้องถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี ผมบอกยุบก็ยุบ เพราะคนที่จะเสียโอกาสตรงนี้มีเพียง 23 คน ที่เป็นกรรมการบริหาร คนเหล่านี้เป็นคนอายุน้อย มีคนอายุขนาดผมเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่เหลือต่อให้ถูกยุบพรรค แล้วถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี เขาก็กลับมาได้ ส่วนพวกผมก็กลับมาอีกทีตอนอายุ 70 ซึ่งถ้าพี่น้องประชาชนต้องการก็จะกลับมาทำงานให้ดู ไม่กลัวเลย ไม่ใช่เพราะเราประมาท เหตุผลที่ไม่กังวล คือ ยิ่งยุบ พรรคพท.ยิ่งโต ที่ผ่านมาก็บอกอยู่แล้ว เราโดนยุบมา 3 ครั้ง ยุบทุกครั้ง โตทุกครั้ง ยิ่งสมัยนี้ ประชาชนยิ่งรู้ ยิ่งเห็น ยิ่งตาสว่าง การยุบพรรคไม่ใช่ทางออก และไม่ใช่ทางเลือกของผู้มีอำนาจที่จะจัดการคู่แข่งทางการเมือง ถ้าคุณทำอย่างนี้ ดูเหมือนคุณได้เปรียบ แต่ในทางตรงกันข้าม กลายเป็นการเสริมพลังให้เขาได้มีโอกาสมากขึ้น เขาไม่น่าจะเลือกใช้

  • ถ้ามีการใช้วิธีที่ชนะเลือกตั้งแต่ไม่ได้ตั้งรัฐบาลอีก วางทางออกไว้อย่างไร

ถ้าเป็นไปตามยุทธศาสตร์ และเป้าหมายที่วางไว้ อันนี้ตัดไปได้เลย ได้ตั้งรัฐบาลแน่ จึงต้องพยายามทำให้ถึงเป้าให้ได้ แต่กรณีที่เราไม่ถึงเป้า ต้องมาดูว่าที่ไม่ถึงเป้านั้นได้เท่าไหร่ เขาจะสามารถแย่งตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ ถ้าเรายังอยู่ที่ 140 อันนี้เขาก็ยาก เพราะเขาจะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากที่เป็นเป็ดง่อยเหมือนอย่างในปัจจุบัน ขณะนี้เขามี 266 เสียง คือเกินกึ่งหนึ่งมาเพียง 20 กว่าเสียง และด้วยเหตุนี้ทำให้เสียงข้างมากไม่เคยเป็นเสียงข้างมากเวลาประชุมสภาเลย มันต่ำกว่า 238 เสียงทุกครั้งเวลาที่มาประชุม เพราะต่างคนต่างมีภารกิจ ที่สำคัญคือข้อขัดแย้งในพรรครัฐบาล

ดังนั้น เรื่ององค์ประชุมนี้ไม่ใช่เรื่องที่ฝ่ายค้านจะไปเล่นการเมือง แต่ฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบควบคุมรัฐบาลให้ทำดี นี่คือการเล่นตามบท ถามว่าบทมาจากไหน ไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายค้าน ทุกคนอยากเป็นรัฐบาล แต่ถ้าคุณเลือกตั้งมาได้เสียงข้างน้อยคุณก็ต้องมาเล่นบทฝ่ายค้าน เขาจึงเรียกว่าเล่นการเมือง แต่การเล่นการเมืองที่ดีที่สุด คือการเล่นการเมืองเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนใช่ไหม ดังนั้น คำว่าเล่นการเมืองจะไม่เสียหายเลย ถ้าเล่นการเมืองตามวัตถุประสงค์นี้ แต่ถ้าคุณเล่นการเมืองแล้วไปคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ แต่พวกพ้อง นี่เรียกว่าเป็นการเล่นการเมืองที่ไม่ดี เขาเรียกว่าการเมืองเลว ถ้าเขาได้ไม่เกินกึ่ง การจะแย่งชิงจัดตั้งรัฐบาลก็เป็นไปได้ยาก เว้นแต่เราได้ 130 หรือ 140 ที่นั่ง อันนี้ก็เป็นภาวะจำยอม เพราะถือว่าประชาชนมอบให้เรามาเท่านี้ เราก็จำเป็นต้องเล่นตามนี้

  • คิดว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อไทยจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่

มั่นใจ เพราะ 1.มองที่ตัวเราก่อน เชื่อว่าเรามีจุดแข็ง เราปิดจุดอ่อน และพยายามเสริมสร้างจุดแข็งของเรา ไม่ว่าจะเป็นนโยบาย ตัวบุคคล และโครงข่ายกลไกในการทำงานของเรา ครั้งนี้เราถือว่า แข็ง 2.หากมองออกไป วิกฤตประเทศในขณะนี้ ความเชื่อมั่นของพี่น้องประชาชนที่มีต่อนายกฯ และคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดนี้ตกต่ำมาก วิกฤตอย่างนี้ก็แก้ไม่ได้ และถ้าไม่แก้ พี่น้องประชาชนมองแล้วว่าเขาอยู่ไม่ได้อย่างแน่นอน เขาย่อมแสวงหาโอกาส ตรงนี้จึงถือเป็นโอกาสของเรา จากการทำงานที่ผิดพลาด บกพร่อง และล้มเหลวของเขา เขาไม่สามารถตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาได้ วันนี้ตัวเรามองตัวเราอยู่แล้ว แต่เรามองที่ตัวโอกาสจากภายนอกด้วย วิกฤตของประเทศกลายเป็นโอกาสที่เราจะเข้าไปแก้ปัญหาแทนรัฐบาลชุดเดิม หรือคนเดิมๆ ผ่านระบบ และกลไกการเลือกตั้ง และ 3.วันนี้มีการเริ่มพูดคุยกันว่า ถ้าจะสู้กับเผด็จการ ต้องร่วมแรงร่วมใจ นี่ก็เป็นโอกาสหนึ่ง และไม่ใช่โอกาสเฉพาะพรรค พท.

ดังนั้น แนวโน้มในการแข่งขัน มันเสมือนว่า เกิดการรวมตัวของซีกฝ่ายประชาธิปไตยที่จะรวมกันต่อสู้กับอีกฝ่ายที่เขาใช้คำว่าเผด็จการ ถือเป็นโอกาส และไม่ใช่การสมยอมกันทางการเมือง แต่เป็นการเลือกตั้งแทนจากซีกของเราที่ดีที่สุดเข้าไปสู้ ถ้าเราทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน แล้วพี่น้องประชาชนเอาด้วยจนเกิดเป็นข้อเรียกร้องของพี่น้องประชาชนว่าไม่ต้องส่งแข่งกันเป็นทางเลือก เพื่อจะสู้กับอีกฟากให้ได้ ถ้าประชาชนเรียกร้องอย่างนั้น ในฐานะพรรคการเมืองควรทำตาม นี่มองเป็นโอกาสหนึ่งที่จะทำให้มีโอกาสได้รับการเลือกตั้งมากขึ้น เช่น ภาคใต้ กทม. และภาคกลาง ที่จะเริ่มมีการมองเป้าหมายใหญ่มากขึ้น

  • เชื่อว่าจะแลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดินได้จริงหรือ

ถ้าเป็นไปตามเป้าหมายนี้ จะแลนด์สไลด์ และมั่นใจว่า ถ้ากลับมาสมมุติเลือกตั้งปี 65 ทำงานสักปีหนึ่ง ในทางการเมือง แค่เชื่อก็ถือเป็นเรื่องจริงแล้ว การเมือง ถ้าเชื่อว่าจะเป็นอย่างไรมักจะเป็นเรื่องจริงตามความเชื่อนั้นๆ และจากความเชื่อจะกลายเป็นศรัทธา ดังนั้น เรามีความเชื่อว่า หลังการเลือกตั้งสัก 1 ปี ถ้าได้เข้ามาเป็นรัฐบาล ความเชื่อมั่นจะกลับมา แล้วเมื่อความเชื่อมั่นกลับมาการมีส่วนร่วมในทุกมิติจะกลับมาด้วย แล้วการแก้ปัญหาภายใต้การมีส่วนร่วมจะดำเนินไปอย่างมีความพร้อม และมุ่งเป้าไปสู่ความสำเร็จได้ง่าย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image