‘วิโรจน์’ ลงชิงผู้ว่าฯกทม. ลั่นท้าชน‘ส่วย-กลุ่มทุน’

สัมภาษณ์หน้า 2 : ‘วิโรจน์’ลงชิงผู้ว่าฯกทม. ลั่นท้าชน‘ส่วย-กลุ่มทุน’

สัมภาษณพิเศษ : ‘วิโรจน์’ ลงชิงผู้ว่าฯกทม. ลั่นท้าชน ‘ส่วย-กลุ่มทุน’

หมายเหตุนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) และว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯกทม.) พรรค ก.ก. ให้สัมภาษณ์ “มติชน” ถึงความพร้อมในการลงรับสมัครผู้ว่าฯกทม. ตามไทม์ไลน์ที่รัฐบาลระบุว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคมนี้

  • เบื้องหลังก่อนที่จะตกผลึกเป็นชื่อนายวิโรจน์ มีกระบวนการคัดสรรอย่างไร

คือตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งให้ความสำคัญกับนโยบายการกระจายอำนาจและท้องถิ่น กรุงเทพมหานครก็เป็นพื้นที่ที่พรรคอนาคตใหม่สนใจมาโดยตลอด หากจำกันได้จะนัดพบแลกเปลี่ยนพูดคุยกับสมาชิกของพรรคอนาคตใหม่ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะมีผมอยู่ในการสัมมนาตลอดเวลาต้องยอมรับส่วนหนึ่งว่าที่ผมเข้ามาร่วมงานกับพรรคอนาคตใหม่ เพราะสนใจเรื่องปัญหาและการพัฒนากรุงเทพมหานคร

เมื่อผ่านพ้นจนมาถึงพรรคก้าวไกล และเริ่มถึงฤดูกาลการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ซึ่งพรรค ก.ก.ไม่ได้เริ่มต้นจากการกำหนดคน แต่เริ่มต้นจากการกำหนดนโยบาย ทั้งนี้ เรารู้ว่านโยบายที่เลิศหรูอลังการขนาดไหน ถ้าไม่มีวิถีทางในการขับเคลื่อนนโยบายกำกับ นโยบายนั้นจะเดินหน้าไม่ได้ กระบวนการในการพัฒนานโยบาย วิถีทางหรือวิถีดำรงตนของผู้ว่าฯกทม. ของพรรค ก.ก.นั้นควรจะเป็นอย่างไร เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าผู้ว่าฯกทม. คนนั้นจะดันนโยบายให้ไปข้างหน้าได้ วิถีทางนี้เรียกว่า “ดีเอ็นเออนาคตใหม่” คือการกล้าขับเคลื่อนนโยบายโดยนำผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง รีดงบประมาณให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อให้ผลประโยชน์ตกถึงประชาชนทางตรงให้ได้มากที่สุด ไม่หวั่นไหวกับอำนาจและผลประโยชน์ที่กองอยู่ตรงหน้า เมื่อได้แกนของนโยบายหลักและวิถีทางในการทำงาน จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการสรรหาว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ของพรรค ก.ก.ว่าควรจะเป็นใคร

โดยผมเสนอตัวเป็นหนึ่งในตัวเลือกตั้งแต่ตอนนั้น เมื่อพรรคเปิดให้สรรหา ทั้งจากภายนอกและภายใน แต่จังหวะนั้นถ้าจำกันได้พรรค ก.ก.ได้เริ่มทำงานในพื้นที่กรุงเทพมหานครแล้ว จากการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ถัดมาก็เริ่มสรรหาและกำหนดตัวจริงที่จะเป็นแคนดิเดตผู้ว่าฯกทม. ผมก็อยู่ในกระบวนการสรรหา และการกำหนดนโยบายวิถีทางในการทำงาน ผมก็เป็นหนึ่งในทีมงาน และให้ความเห็น

Advertisement
  • เหตุปัจจัยที่ยอมให้สละเก้าอี้ ส.ส.

เหตุผลมาจากมุมมองที่อยากจะพัฒนากรุงเทพมหานคร คือ เชื่อว่ากรุงเทพมหานครสามารถรีดงบประมาณให้เกิดประโยชน์กับคนกรุงเทพฯได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ นี่เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมได้เข้ามาร่วมงานกับพรรคอนาคตใหม่ ปัจจัยต่อมาคือ แม้งานในสภาผู้แทนราษฎรจยังมีความสำคัญทั้งการอภิปราย ตรวจสอบ และให้ข้อเสนอแนะกับรัฐบาล เรารู้แล้วว่าบทบาทที่ทำมาตลอด 3 ปี สามารถขยับรัฐบาลได้บ้าง แต่พอถึงจุดหนึ่งสังคมก็คาดหวังว่าสักวันน่าจะต้องเปลี่ยนมากกว่านี้ ไม่ใช่คาดหวังแค่ให้รัฐบาลเปลี่ยน แต่คาดหวังที่จะเปลี่ยนรัฐบาลเลยด้วยซ้ำ การขับเคลื่อนในสภาอาจจะตอบโจทย์ตรงนั้นไม่ได้ จึงต้องมีอีกกลไกหนึ่ง คือกลไกในการทำตัวอย่างให้ดูว่ารัฐบาลก้าวไกล ในวิถีทางก้าวไกลที่ขับเคลื่อนนโยบายโดยเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้งไม่หวั่นไหวต่ออำนาจและผลประโยชน์ที่กองอยู่ตรงหน้าเป็นอย่างไร มองปัญหาของประชาชนเป็นเหมือนปัญหาของตัวเองหน้าตามันเป็นอย่างไร ควบคู่ไปกับการทำหน้าที่ตรวจสอบ อภิปรายและแนะนำรัฐบาล เชื่อว่าจะกลายเป็นโมเมนตัมที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับประเทศได้ ไม่ใช่ว่างานในสภาไม่สำคัญ แต่งานตรงนี้ก็สำคัญเหมือนกัน

เมื่อผมตัดสินใจแบบนี้ก็อาจจะมีคนรู้สึกเสียดาย ผมก็รู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งจริงๆ มีคนเห็นความพยายามและคุณค่าการทำงานของผม แต่งบประมาณ 1 แสนล้านบาท กับคน 6 ล้านคนในกรุงเทพฯ กับโอกาสที่จะได้พิสูจน์การทำงานให้ดูว่ารัฐบาลก้าวไกลเป็นอย่างไร การทำให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์จากงบประมาณที่เต็มที่ที่สุด ไม่เกรงใจนายทุนและมองนายทุนเป็นเพียงประชาชนคนหนึ่งอย่างเท่าเทียมกันเป็นอย่างไร จึงเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ซึ่งผมก็สัญญาว่าจะพยายามทุ่มเทบากบั่น และพิสูจน์ตัวเองให้หนักขึ้น ในทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งเป็นโอกาสเห็นความเปลี่ยนแปลง ผมเชื่อว่าคนที่อยากเปลี่ยนแปลงมีอยู่จำนวนมากและเราจะทิ้งโอกาสนี้ไม่ได้

  • ฟีดแบ๊กและกระแสหลังจากเปิดตัวเป็นแคนดิเดตผู้ว่าฯกทม.

ฟิตแบ๊กมีทั้งดีและไม่ดี ฟีดแบ๊กที่ไม่ดีก็เป็นเรื่องที่ต้องน้อมรับ อย่างไรก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่เราดีใจเพราะหากเปิดตัวไปแล้วแล้วเงียบ นั่นคือความน่ากลัวที่สุด หากใครติดตามผมในโซเชียลมีเดียก็จะรู้ว่าผมน้อมรับกับคำวิพากษ์วิจารณ์ทั้งดีและไม่ดีเสมอ เพื่อกลับไปปรับปรุง

Advertisement
  • การเลือกท้าชนกับ 3 ปัญหาคือ “ส่วยกรุงเทพฯ-ระบบราชการรวมศูนย์ส่วนกลาง-กลุ่มทุนผูกขาด”

เรื่องส่วย การคอร์รัปชั่น และการเรียกรับผลประโยชน์เป็นเรื่องแรกที่ต้องชน ทุกคนในกรุงเทพฯรู้ว่ามีอยู่จริง รู้ว่าก็กินตั้งแต่ระดับชาวบ้านพ่อค้าแม่ขายตัวเล็กๆ ไปจนถึงผู้ประกอบการที่ทำงานก่อสร้าง นี่ยังไม่นับการคอร์รัปชั่นการจะซื้อจัดจ้างอีก ถ้ายังยอมรับให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น งบประมาณที่จะลงไปถึงประชาชนก็จะไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ค่าครองชีพในปัจจุบันก็แพงอยู่แล้ว แล้วยังจะต้องมาจ่ายค่าคุ้มครองชีพให้กับใครอีกหรือ

นี่คือภัยร้ายที่เกาะกินแทบทุกมิติของกรุงเทพฯ หากจัดการได้ในหลายๆ เรื่องก็จะดีขึ้นโดยตัวของมันเองได้ในระดับหนึ่งทันที และอยู่ในระดับที่พร้อมจะพัฒนาเพื่อให้ดีขึ้นกว่าเดิมด้วย

การชนของผมคือการไม่ยอมรับ เรามีความสุขหรือที่เห็นผู้ว่าฯกทม. ที่ไม่กล้าพูดเรื่องนี้ และปล่อยเรื่องส่วยให้เกิดขึ้นราวกับเป็นเรื่องปกติ

การเริ่มจัดการเรื่องส่วย ก็เหมือนหากจะเอาเฟอร์นิเจอร์มาตกแต่งบ้าน คุณต้องเริ่มทำความสะอาดบ้าน ถ้าบ้านสกปรก และมีขยะเต็มไปหมด ต่อให้เอาโซฟาสวยๆ มาวางครอบขยะกองนั้น บ้านก็ไม่น่าอยู่ขึ้น ผมจึงเป็นแคนดิเดตผู้ว่าฯกทม. ที่ไม่ได้พูดถึงเรื่องน้ำท่วม รถติด มากมายนัก เพราะต้องการเริ่มต้นจากการกวาดบ้านให้สะอาดก่อน

เรื่องที่สองคือ ผู้ว่าฯกทม.ไม่ใช่ซีอีโอบนตึกระฟ้าและมองประชาชนเป็นพนักงานใต้บังคับบัญชา เพราะสำหรับผมมองว่าผู้ว่าฯกทม. คือผู้จัดการฝ่ายบุคคล โดยมีซีอีโอ คือประชาชน ดังนั้นการสมัครเป็นผู้ว่าฯกทม. จึงเหมือนการยื่นใบสมัครงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านแม่บ้านในการดูแลสำนักงานดูแลสารทุกข์สุกดิบและสวัสดิการ ทั้งยังต้องมองคนกรุงเทพฯ ทุกคนเป็นเจ้านาย และญาติ เมื่อปัญหาเกิดขึ้นกับพี่น้องเรา จึงเป็นปัญหาของเราด้วย โดยผู้ว่าฯกทม.จะคิดและติดอยู่กับกรอบของอำนาจในหน้าคำบรรยายลักษณะงานไม่ได้

ผมจึงย้ำเสมอว่าผู้ว่าฯกทม.ทำงานคนเดียวไม่ได้ จึงนำเสนอวิธีคิดแบบ 3 ประสาน คือ 1.ผู้ว่าฯกทม.มีวิถีอนาคตใหม่เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย 2.ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. ที่จะรีดประสิทธิภาพของงบประมาณและเข้าใจบริบทของแต่ละเขตพื้นที่และสามารถทำงานกับพื้นที่ได้อย่างแท้จริง และ 3.ส.ส.พรรค ก.ก.ที่จะคอยช่วยในตอนที่
ผู้ว่าฯกทม.เกิดปัญหาติดขัด ผ่านการใช้อำนาจนิติบัญญัติแก้ไขกฎหมายเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับคนกรุงเทพฯ และให้ผมสามารถทำหน้าที่รับใช้เจ้านายได้มากกว่าเดิม

  • แผนงานที่จะนำไปใช้หากได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯกทม.

แกนนโยบายที่คิดไว้คือ 1.การยกระดับคุณภาพชีวิตและสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ไม่อาจยอมรับได้ให้มาสู่คุณภาพชีวิตและสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่ดีในระดับมาตรฐาน ปัจจุบันคนกรุงเทพฯจำนวนไม่น้อยต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินเพื่อซ่อมความห่วยของกรุงเทพมหานครเอง จ่ายจนเคยชินและไม่รู้ตัว มีลูกเล็กก็ต้องจ่ายเงินให้ไปอยู่เนิร์สเซอรี่ เพราะยอมรับคุณภาพของศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนไม่ไหว หากจ่ายด้วยความสมัครใจก็จะเป็นเรื่องปกติ แต่หากจ่ายเพียงเพราะให้ได้คุณภาพในระดับมาตรฐานเท่านั้น คุณไม่ควรจ่าย

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของความปลอดภัยในเมือง ที่ต้องทำรั้วบ้านสูงๆ ติดกล้องวงจรปิดหลายตัว หรือจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้านเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเมืองปลอดภัยได้ดีในระดับมาตรฐาน คนกรุงเทพฯอาจจะจ่ายสิ่งเหล่านี้น้อยลงกว่าที่เป็นอยู่ เหลือเงินไปทำอย่างอื่นที่ตัวเองต้องการและทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น

นี่คือสิ่งที่เราพยายามนำเสนอ และสิ่งๆ นั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้า ผู้ว่าฯกทม.ปฏิเสธว่าตัวเองไม่มีอำนาจไม่กล้า หรือเกรงใจหน่วยงานต่างๆ ทั้งนายทุนและข้าราชการ แต่ไม่เคยเกรงใจคนกรุงเทพฯ

ทั้งนี้ ได้เขียนแผนงานและโครงการไว้หมดแล้ว จะทยอยเปิดเป็นระยะ เช่น โครงการเมืองปลอดภัย ที่เกี่ยวข้องกับคนเดินถนนและคนเดินเท้า

แต่เมื่อเกิดเหตุกรณีแพทย์หญิงถูกรถชนบนทางม้าลาย ผมจึงนำแอพพลิเคชั่น Traffy Foudue หรือ “ฟองดูว์” ที่อยู่ระหว่างการพัฒนามาใช้ก่อน ไม่รอทำตามแผนที่วางไว้กับทีมงาน เพราะคนในครอบครัวได้รับความเดือดร้อน จึงต้องรีบลงมือทำ

  • กรุงเทพฯมีปัญหารถติด น้ำท่วม จนคนกรุงเทพฯไม่ได้คาดหวังว่าผู้ว่าฯกทม.จะแก้ปัญหาได้

ผมเข้าใจความรู้สึกของคนกรุงเทพฯที่เป็นเจ้านาย ผมเข้าใจว่าตลอด 8 ปีที่คนกรุงเทพฯ ต้องเจออะไรแบบนี้จึงทำให้รู้สึกมีความคาดหวังน้อยลง แต่ครั้งนี้เป็นโอกาสที่เจ้านายจะได้เลือกผู้จัดการฝ่ายบุคคลคนใหม่ และพิจารณาใบสมัครข้อเสนอโครงการของคนที่จะมาสมัครเป็นผู้ว่าฯกทม. และ ส.ก.ผมเข้าใจว่าปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่อยู่ในอำนาจของผู้ว่าฯกทม. แต่ผมยินดีจะไปประสานทุกอย่าง ผมจะไม่ยอมแพ้กับการประสานงาน หากหน่วยงานใดไม่มีความคืบหน้า จะไปจี้ไปตามอย่างให้เกียรติกัน แต่จะไม่ยอมให้ปัญหาของหัวหน้าหรือประชาชนคนกรุงเทพฯที่เป็นซีอีโอของผมต้องมีปัญหาคาราคาซัง อย่างน้อยผมจะทำให้หัวหน้าของผมเห็นว่าผมไม่นิ่งเฉย

  • คนกรุงเทพฯเดาใจยากและอ่อนไหวต่อวาทกรรม

คนกรุงเทพฯไม่ได้อ่อนไหว แต่มีเวลาในการพิจารณาและตัดสินใจที่จะเลือกผู้ว่าฯกทม. เหมือนในฐานะหัวหน้าที่จะจ้างคนมาทำงานก็มีสิทธิที่จะคัดเลือกคนที่เหมาะสมที่สุดในตำแหน่งนั้น ผมเองก็เป็นผู้สมัครคนหนึ่งที่มายื่นใบสมัคร อาจจะต้องกลับมายื่นใบสมัครรอบสอง และสัมภาษณ์ใหม่ จึงเป็นเรื่องธรรมดาของการที่คนมีสิทธิเลือก และผมก็ยืนยันว่าทุกคนมีสิทธิที่จะเลือกในสิ่งที่เหมาะสมและชอบที่สุด นี่คือความงดงามของระบอบประชาธิปไตย จึงต้องเตรียมการสัมภาษณ์งานให้ดีที่สุดในทุกครั้งที่ได้สัมผัสกับเจ้านายเท่านั้นเอง

  • มองอนาคตทางการเมืองของตัวเองไว้อย่างไร

ผมคิดว่าการตรวจสอบรัฐบาลก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่งานผู้ว่าฯกทม. เป็นสิ่งที่ท้าทายและยิ่งใหญ่มาก หากทำได้จริงกับการบริหารงบประมาณกรุงเทพมหานครปีละประมาณ 1 แสนล้านบาท และพิสูจน์ว่ากรอบความคิดที่เรียกว่านโยบายก้าวไกล และให้เห็นภาพว่ารัฐบาลก้าวไกลเป็นอย่างไร ทั้งนี้ สิ่งที่สำคัญคือการทำตัวอย่างให้ดู เหมือนที่เคยคุยกันไว้ว่าคณะก้าวหน้าคือ โปรโตไทป์

ส่วนพรรค ก.ก.ทำของจริง และกำลังจะทำให้เกิดของจริง โดยหากบริหารงบประมาณ 1 แสนล้านบาทได้เกิดผลต่อประชาชนอย่างแท้จริง จะเป็นโมเมนตัมที่ทำให้สังคมมีความหวังกับการเปลี่ยนแปลงและจะเป็นโอกาสที่พรรค ก.ก.ได้เป็นรัฐบาล

  • ทำไมคน กทม.ต้องเลือกวิโรจน์เป็นผู้ว่าฯ

หัวหน้าครับวันนี้ผมมาสมัครงานในฐานะผู้จัดการฝ่ายบุคคล แต่ชื่อตำแหน่งคือผู้ว่าฯกทม. ผมจะตั้งใจทำงานพร้อมกับเพื่อนร่วมงานของผมทั้งหมดที่ชื่อว่า ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. ในการเตรียมข้อเสนอนโยบายให้กับหัวหน้าได้พิจารณาและจะหมั่นเพียรมาสัมภาษณ์และปรับปรุงทุกครั้งที่หัวหน้าติติงมา แล้วผมจะกลับมาสัมภาษณ์ใหม่ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อถึงเวลาหัวหน้าจะโทรศัพท์มาบอกผมว่าให้นายวิโรจน์และเพื่อนร่วมงานของนายวิโรจน์ได้มาทำงานเป็นลูกจ้างขององค์กรแห่งนี้ที่ชื่อว่ากรุงเทพมหานครและผมจะทำให้ดีที่สุด

ส่วนคำตอบว่าผมจะชนะเลือกตั้งหรือไม่ชนะ มันตอบยาก เพราะว่าเป็นการตัดสินของเจ้านายซึ่งเป็นคนกรุงเทพฯ แต่คนที่ลงสนามจะต้องมั่นใจว่าจะชนะได้ ส่วนจะชนะหรือเปล่าไม่รู้ ถ้าเป็นฟุตบอลที่แข่งกัน 90 นาที เราต้องคิดว่าชนะได้

ใครเป็นแฟนบอลลิเวอร์พูล ใครเป็นเดอะค็อป จะรู้เรื่องปาฏิหาริย์ที่อิสตันบูล ถ้ามัวแต่มองสกอร์บอร์ดที่คุณตามตั้งเยอะ คุณจะรู้สึกท้อใจ และไม่มั่นใจว่าจะชนะได้ คุณก็แพ้แล้ว แต่ถามว่า 0-3 แล้วคุณจะชนะหรือ ก็ตอบไม่ได้ แต่คุณต้องมั่นใจว่าจะชนะได้ เมื่อเล่นตามเกม และทำตามที่ซ้อมอย่างหนัก โดยไม่มองสกอร์บอร์ด แล้วค่อยๆ ไล่ และค่อยๆ เล่นในเกม ชนะหรือเปล่าไม่รู้

แต่ตราบใดที่นกหวีดยังไม่เป่า ก็ต้องเล่นเต็มที่

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image