‘ปิยบุตร’ วิเคราะห์ก้าวไกล ปลุกมั่นคงจุดยืน-รอวันโต

‘ปิยบุตร แสงกนกกุล’ วิเคราะห์ก้าวไกล ปลุกมั่นคงจุดยืน-รอวันโต

หมายเหตุ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ วิเคราะห์ทิศทางการขับเคลื่อนทางการเมืองของพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

  • มีข้อเสนอแนะการปักธงความคิด ให้กับพรรคก้าวไกลอย่างไร ? 

การเมืองไม่ใช่แค่ลงคะแนนหรือยกมือในสภา เป็นเรื่องกระบวนการ ความเคลื่อนไหวทางสังคม ทางความคิดของคนข้างนอกด้วย ปัญหาที่พรรคก้าวไกลเจอตอนนี้ เขามีความคิดอยากทำแบบใหม่ แต่โครงสร้างอำนาจวัฒนธรรมการเมืองเป็นแบบเดิมอยู่ คุณกำลังเอาของใหม่ วิธีคิดแบบใหม่ทั้งหมด มาอยู่ในความสัมพันธ์ทางอำนาจแบบเก่า นี่คือความยาก

ยากเพราะการสร้างจุดสมดุลตัวเองไม่ดี พฤติกรรมก็กลายเป็นแบบพวกเขา แต่หากด่าคนนั้นคนนี้ คุณก็จะทำงานกับใครไม่ได้เลยอีก ความยากคือช่วงรอยต่อแบบนี้ที่จะทำอย่างไร การพูดว่าปักธงทางความคิด อย่างที่ผมวิจารณ์เรื่องมาตรา 112 และเสนอให้ยกเลิกความผิดตาม มาตรา 112 โดยให้ไปใช้กฎหมายหมิ่นประมาทแบบคนทั่วไป และระยะยาว อนาคต ความผิดฐานหมิ่นประมาทไม่ควรเป็นโทษอาญา

แต่ในเมื่อพรรคเดินแบบนั้น ปัญหาที่ผมวิจารณ์คือ ทำไมผ่านมาเป็นปี วันนี้เราต้องรู้แล้วว่า ไม่ว่าเสนอแบบไหน หรือแก้ใหญ่แบบพรรคก้าวไกล ประธานสภาไม่ยอมเอาเข้า คุณเสนออะไรไป เข้าไม่ได้เลย ในเมื่อประตูปิดทุกอย่าง แต่คุณยืนยันว่าต้องแก้ สังคมมีส่วนเรียกร้องว่าต้องแก้ แม้แต่รอยัลลิสต์บางฝ่ายยังเห็นว่าควรปรับปรุงบางส่วน ถ้าเช่นนั้นตัดประเด็นอุปสรรคเข้าสภาออกไป แก้ให้ซอฟต์กว่านี้อีกนิด อาจไม่ตรงจุดยืนคุณ แต่คุณอธิบายประชาชนได้ นี่คือการผสมให้สมดุล ในเมื่อคุณยังไม่มีอำนาจเต็ม โครงสร้างการเมืองเป็นแบบเดิม อีกด้านก็ต้องการผลักดันให้สำเร็จ นิดหน่อยก็ยังดี ดีกว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ สำหรับผมไม่ใช่การลดเพดาน หรือเปลี่ยนจุดยืน แต่เป็นการผสานกันระหว่างอุดมคติกับความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ

Advertisement

เราสามารถแสดงจุดยืนอุดมคติได้ แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในอำนาจต้องหาทางผลักดันให้ได้ ทำอย่างไรให้ตื่นเช้ามา ส่องกระจกฉันยังเป็นคนเดิม แต่สามารถทำงานกับคนอื่นได้ด้วย พฤติกรรมคนในปัจจุบัน คนมีสิทธิเลือกตั้งเปลี่ยนไปเยอะแค่ไหน ในยุคข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายรวดเร็ว

ของแบบนี้ไม่สามารถทำได้ภายใต้การเลือกตั้ง 1-2 ครั้ง เพราะเชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ในสมอง ใจคิดอย่างหนึ่ง แต่อยากเลือกอีกพรรค เวลากา กาอีกพรรค เพราะที่สุดต้องคำนึงถึงเงื่อนไขในแต่ละช่วงตอนกากบาท เรื่องแบบนี้ไม่อาจเปลี่ยนได้ภายในการเลือกตั้ง 1-2 ครั้ง แต่พรรคก้าวไกลต้องพยายามทำให้ได้ ภารกิจของคุณคือต้องทำให้ได้ เปลี่ยนความคิดจิตใจคนให้ได้ว่า ภายในกี่ปี ประโยคแลนด์สไลด์ คือแลนด์สไลด์มาที่พรรคก้าวไกล ต้องทำให้คนเชื่อร่วมกันให้ได้ว่า แม้กระทั่งมีประโยชน์ในการลงคะแนนอะไรก็ตาม แต่ยังไงก็ต้องกาพรรคก้าวไกล ให้ไปเปลี่ยนประเทศให้ได้ คุณต้องสร้างความรับรู้ เปลี่ยนความคิดคนให้ได้

ธรรมดามนุษย์ไปกากบาท มีเหตุปัจจัยหลายประการ เช่น รักผู้สมัครคนนี้ แต่ไม่ชอบพรรคนี้ เป็นต้น ดังนั้นหากพรรคก้าวไกลต้องการเป็นพรรคใหญ่ ต้องทำอย่างไรให้เปลี่ยนความคิดจิตใจคนให้ได้อย่างพร้อมเพรียงกันในวันหย่อนบัตรว่า ต้องเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ ด้วยการฝากอำนาจ ฝากพลังให้กับคุณ เข้าไปเปลี่ยนให้หน่อย ความคิดนี้ไม่ได้อยู่ดีๆ เกิด เขาต้องพยายาม ผมเชื่อว่าครั้งนี้อาจยังไม่ได้ แต่ต้องพยายาม นี่คือ Final Solution

Advertisement

รีแบรนด์จากพรรคซ้ายสุด เป็นพรรคซ้ายกลาง เพราะที่ผ่านมาถูกโดดเดี่ยว ถ้าไม่ปรับอะไรเลย จะไม่ได้เข้าไปผลักดันนโยบาย

จริงๆ ตอนอดีตพรรคอนาคตใหม่เบากว่าพรรคก้าวไกล แต่คนคิดว่าอดีตพรรคอนาคตใหม่แรงกว่า เพราะคิดถึงหน้าผม หน้านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เบากว่าเพราะสภาพปัจจัยทางการเมือง ณ ขณะนั้น เพื่อให้พรรคไปได้ อยู่ในระบบได้ ลดอะไรมาบางอย่าง พอถูกยุบ สถานการณ์การเมืองเปลี่ยน เสียงเรียกร้องในทางสังคมเปลี่ยนหมด สภาพปัญหาเกิดขึ้นอีก มาตรา 112 ที่เงียบไปกลับมาอีก พรรคก้าวไกลไปตอบสนองความต้องการนี้ เมื่อพรรคก้าวไกลขยับขึ้นเพราะสถานการณ์การเมืองเปลี่ยน มวลชนขึ้นหน้าไปอีก เขาต้องขยับขึ้นตาม ปัญหาคือเมื่อต้องลงเลือกตั้งผมไม่อยากใช้คำว่ารีแบรนด์ซ้ายกลาง ซ้ายสุด เพราะการลงเลือกตั้งต้องการโหวตเตอร์ทุกส่วน การก่อตั้งพรรคก้าวไกลไม่ได้มาเพื่อทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งเรื่องเดียว ไม่ได้ตั้งมาเป็นพรรคเชิงประเด็นเดียว แต่ทำทุกเรื่อง ดังนั้นการออกแบบนโยบายไม่สามารถทำให้กลุ่มนี้ได้ทั้งหมด และทำกลุ่มนั้นไม่ได้ การออกแบบนโยบายจึงต้องหาจุดสมดุลภายใต้อัตลักษณ์ที่ยังไม่เสีย ในส่วนการรีแบรนด์ต่างๆ ความเห็นส่วนตัวของผม ผมไม่เชื่อว่าทำหรือไม่ทำแล้วจะกลายเป็นปัจจัยชี้ขาดว่าจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่

ผมทดลองมาแล้วในสมัยอดีตพรรคอนาคตใหม่ สุดท้ายเหมือนเดิมต่อให้พรรคก้าวไกลทำตัวเป็นพรรคสงบเสงี่ยมเรียบร้อยนั่งพับเพียบทำอะไรเหมือนที่ทุกพรรคทำกันตอนนี้ คุณว่าคนที่คุมอำนาจอยู่จะเชื่อหรือไม่ ผมว่าเขาไม่เชื่อ คนที่ไม่เลือกพรรคก้าวไกลเขาก็ไม่เลือกอยู่แล้ว ถ้าคุณกังวลเรื่องนี้ ในท้ายที่สุดจะกลายเป็นพรรคอะไรก็ไม่รู้ แต่แน่นอนว่าท่วงท่าการพูดจาโอภาปราศรัยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หรือเป็น Political Marketing ก็ว่าไป แต่ไม่สามารถเปลี่ยนจุดยืนได้ต่อให้ออกไปยืนไปสาบานต่อหน้าวัดพระแก้ว คนก็ไม่เชื่อ ผมว่ามันเลยจุดของการอธิบายให้คนที่อคติมากๆ เชื่อแล้ว

แน่นอนว่าส่วนตัวของผมยังยืนยันเรื่องการปฏิรูป ผมพูดหลายครั้งว่าประเทศนี้ต้องมีสถาบัน พรรคก้าวไกล ก็พูดว่าเป็นไปไม่ได้ที่อยู่ดีๆ จะทำได้หมดทุกเรื่อง เช่น การแก้ไขมาตรา ตรงกันข้ามถ้าจุดยืนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ในท้ายที่สุดคุณจะไม่ได้อะไรเลย ผมเลยไม่เชื่อว่าเขาจะรีแบรนด์เพื่อทำให้ตัวเองได้ไปร่วมรัฐบาล เท่าที่ผมดูก็คิดว่าเขายังคิดแบบเดิมและไม่ได้ถอนนโยบายที่เสนอมา จุดชี้ขาดว่าพรรคก้าวไกลจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่คุณไปนั่งพับเพียบ แต่จุดชี้ขาดคือ คุณมีคะแนนเท่าไหร่

  • จุดยืนเดิมแต่ภาพลักษณ์นุ่มนวลขึ้น ? 

เรื่องนี้เป็นบุคลิกภาพของแต่ละคนด้วย ความจริงบุคลิกภาพคนในสมัยอดีตพรรคอนาคตใหม่ก็นุ่มนวล แน่นอนว่าการปราศรัยหาเสียง อาจจะมีบ้าง แต่ในสภาคาแร็กเตอร์แบบเดียวกันหมด ผมเข้าใจว่ามีคนอยากเห็นพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล และมองสภาพความเป็นจริงภายใต้เงื่อนไขปัจจุบัน แล้วบอกว่าแต่ถ้ายังเป็นแบบนี้ก็ไม่ได้เป็นเสียที ผมชวนให้คิดใหม่ว่า ถ้าอยากให้เป็นมากก็แลนด์สไลด์พรรคก้าวไกลดู จุดชี้ขาดไม่ได้อยู่ที่ต้องไปนั่งพับเพียบเรียบร้อย แต่อยู่ที่เสียง ถ้าได้อย่างถล่มทลายทำไมจะไม่ได้เป็นรัฐบาล

  • พรรคก้าวไกลจะร่วมจัดตั้งรัฐบาล กับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่

ขึ้นอยู่ที่พรรคอันดับ 1 หรือพรรคเพื่อไทยจะตัดสินใจ พอคุณเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ต้องพิจารณาว่าใครมาร่วมกับคุณ แต่ส่วนตัวผม ถ้าผมเป็นพรรคเพื่อไทย จะเอาพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาล เพราะถ้าให้พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน ขบวนใหญ่ที่ซัดกับระบอบรัฐประหารจะเสียหายเยอะ เพราะถ้าพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล พรรคก้าวไกลก็ต้องค้าน ไม่งั้นเป็นมวยล้มต้มคนดู งวดหน้าคะแนนน้อยกว่าเดิมอีก สภาพการณ์จะเกิดอะไรขึ้น ขนาดวันนี้ผู้สนับสนุน 2 พรรคยังทะเลาะกันหนักมาก ถ้าอยู่คนละซีกจะยิ่งกว่านี้ และสภาพการณ์สู้กับระบอบรัฐประหาร คสช.จะเสียหายเยอะ อีกข้อถ้าผมเป็นพรรคเพื่อไทยจะนำพรรคก้าวไกลไปร่วมคือ ถ้าคุณต้องการควบคุมการเจริญเติบโตของพรรคก้าวไกล คุณต้องเอามาไว้ใกล้ตัว นี่ผมคิดแทนเขา ถ้าคุณปล่อยให้เขาไปวิ่งข้างนอก เขามีเวลาของเขา เดี๋ยวเขาก็รอการเลือกตั้งครั้งถัดไปเรื่อยๆ เขาจะโตกว่านี้อีก

กลไกรัฐธรรมนูญแบบนี้ กลไกการเมืองแบบเก่ามาผสมอยู่มาก ท้ายที่สุดแม้รัฐบาลจะทำผลงานแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ดี แต่ท้ายที่สุดจะมีปัญหาอยู่แล้ว เช่น การบริหารราชการแผ่นดินบกพร่อง มีทุจริตหรือไม่ มันจะมาอยู่แล้ว เพราะเป็นธรรมชาติการเมืองสไตล์ดั้งเดิม เพื่อหาทรัพยากรในการเลือกตั้งครั้งถัดไป แต่พรรคก้าวไกลตั้งแต่อดีตพรรคอนาคตใหม่ไม่มีเรื่องพวกนี้ มีแต่รอวันโต รอประชาชนเห็นพ้องต้องกันว่าจะเอาแบบนี้แล้ว จะเทเสียงมาให้พรรคก้าวไกลทั้งหมด

แต่สำหรับพรรคการเมืองแบบ Traditional Party (พรรคแบบดั้งเดิม) ในประเทศไทย ไม่ว่าเป็นฝ่ายไหนก็ตาม ในท้ายที่สุดถ้ามองระยะยาว 10-20 ปีข้างหน้า การเมืองไทยก็เปลี่ยนอยู่แล้ว แม้จะช้าหน่อยก็ตาม เป็นไปไม่ได้จะอยู่แบบนี้ตลอดเวลา ถ้าปล่อยให้พรรคก้าวไกลไปสุกสกาวคนเดียว แม้ไม่มีอำนาจรัฐ พูดง่ายๆ จะเรียกว่ากลายเป็นพรรคดั้งเดิมทั้งหมดในการเมืองไทย รวมหัวกันกำจัดพรรคก้าวไกล แต่หารู้ไม่นั่นจะทำให้เขาโตกว่าเดิม ปัจจุบันพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลทำงานใกล้ชิดกัน เสียงอาจแชร์กัน แต่หากผ่านด้วยวิธีอะไรก็ตามแต่ ให้พรรคก้าวไกลไปบินเดี่ยว เสียงพรรคก้าวไกลจะชัดกว่าเดิม โดยเฉพาะนโยบายต่างๆ

ผมเปรียบเทียบแบบนี้ พรรคการเมืองไทยที่ตั้งมาทั้งหมด เป็นพรรคที่รอไม่ได้ อยากเป็นรัฐบาลทันที ทุกพรรค แม้กระทั่งพรรคไทยรักไทยที่เริ่มตั้ง อยากเป็นรัฐบาลทันที จึงต้องดึง ส.ส.มารวมพรรค รอไม่ได้ ยิ่งเป็นเร็วยิ่งดี มีทรัพยากรไปต่อยอด แต่อดีตพรรคอนาคตใหม่จนถึงพรรคก้าวไกล ไม่ได้คิดแบบนี้แต่แรก อยากเป็นไหม อยากเป็น แต่หากรีบเร่งมากจนตัวเองเสียอุดมการณ์ความคิดที่ตั้งมา ก็ไม่เป็นไร รอได้ รอให้ความคิดคนเปลี่ยนแล้วหันมา ดังนั้นผมมองการเมืองระยะยาว 10-20 ปีต่อไป หากกลุ่มพรรคดั้งเดิมรอไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรต้องร่วมรัฐบาล เก็บ ส.ส.แลกรัฐมนตรีไปเรื่อยๆ แล้วนโยบายไม่ได้ต่างกันเยอะ เข้ามานโยบายคล้ายกันหมด กับอีกพรรคหนึ่งที่รอได้ และนโยบายมีความแหลมคมเด่นชัด ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ ประชาชนอาจบอก งวดนี้ยังไม่เลือก แต่เดี๋ยวไม่แน่ครั้งหน้าเลือก

ผมเชื่อว่าก้อนใหญ่ของพรรคดั้งเดิม ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดคนได้อีกแล้ว ถ้าเปรียบเทียบกับวงการธุรกิจคือมันโตจนถึงทางตันแล้ว มันใหญ่กว่านี้ไม่ได้แล้ว และแก้ปัญหาได้ไม่จบ ได้แค่ยื้อเวลา ได้แค่นี้ แต่ในขณะที่พรรคก้าวไกลกำลังขึ้น แต่ยังขึ้นมากไม่ได้ เพราะสภาพสังคมเป็นแบบเดิมอยู่ แต่ประชาชนรู้แล้วว่ามีพรรคนี้ ดังนั้นผ่านไปอีก 10-20 ปี ตอนนี้ไทม์มิ่งมันเหมาะสมแล้ว ประชาชนเห็นพ้องว่าต้องพรรคนี้ (พรรคก้าวไกล) แล้ว ทำให้พรรคทะยานขึ้นไปทันที

  • กองเชียร์พรรคเพื่อไทย กับกองเชียร์พรรคก้าวไกลทะเลาะกัน จะส่งผลต่อการร่วมรัฐบาลหรือไม่ ? 

ความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติของผู้สนับสนุน ผมเข้าใจว่าผู้สนับสนุนและคนที่เชียร์พรรคก้าวไกล หวังว่าวันหนึ่งพรรคก้าวไกลจะก้าวขึ้นมาเป็นพรรคขนาดใหญ่และเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ในขณะที่ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ก็คิดอยู่เสมอว่าจะต้องเป็นพรรคอันดับหนึ่งและเป็นแชมเปี้ยน ดังนั้นจึงต้องเป็นแกนนำรัฐบาลอีกต่อไปเช่นกัน เมื่อผู้สนับสนุนพรรคคิดแบบนี้จึงเป็นธรรมดาที่จะขัดแย้งกัน ทั้งนี้ จะนำสิ่งที่อยู่ในโซเชียลกับในทวิตเตอร์มาประเมินว่านี่เป็นทั้งหมดไม่ได้ ยกตัวอย่างเมื่อไปเดินถนนหาเสียง อาจจะไม่ขัดแย้งอะไรกันเลยก็ได้ แต่เมื่อเป็นโซเชียลมีเดียจะถูกตีฟูขึ้นเรื่อยๆ อีกข้อหนึ่งในส่วนของแกนนำพรรค ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะพูดคุยกันได้ ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันถึงขนาดที่จะทำงานร่วมกันไม่ได้

  • คิดว่าพรรคเพื่อไทย มีโอกาส ยอมให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มาเป็นนายกฯหรือไม่

ผมไม่รู้เลย แต่ความเห็นผมคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะพรรคเพื่อไทยมีแคนดิเดตนายกฯของตัวเองอยู่แล้ว พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคอันดับหนึ่งและเป็นพรรคขนาดใหญ่ต่อเนื่องมาทุกสมัยตั้งแต่ตั้งพรรคไทยรักไทย จนเป็นพรรคเพื่อไทย ก็ไม่เคยแพ้ เป็นที่หนึ่งตลอดกาล ซึ่งหายากมาก เมื่อเป็นเช่นนี้การเอาคนอื่นมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ จึงเป็นไปไม่ได้ ผมจึงยังเชื่อว่าเขามีแคนดิเดตนายกฯของเขาแน่นอน

  • ข้อดีข้อด้อยของว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ของแต่ละพรรคการเมืองเป็นอย่างไร ? 

ประเทศไทยครั้งหน้า ถ้าจะต้องให้ไปต่อให้ได้ และไม่ให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง ต้องเป็นนายกฯที่เป็นคนหน้าใหม่ อายุไม่มาก สำหรับสถานการณ์แบบนี้ คนที่เอ่ยชื่อมาทั้งหมด ผมว่าไปต่อไม่ได้ ด้านหนึ่งหากผมเป็นฝ่ายอนุรักษนิยม ผมจะให้คนอายุน้อยมาเป็น เพราะสังคมเปลี่ยน คุณยิ่งต้องใช้คนใหม่อายุไม่มากมาทำ เพื่อให้แตะกันไว้ในอนาคต แต่หากยังใช้แบบเดิมทางนี้ก็ถ่างๆ เรื่อยๆ

เรามักจะบอกว่าต้องการคนที่เคยบริหารประเทศมา เคยเป็นรัฐมนตรีมา แต่ผมกลับคิดกลับกันว่า หากเอาคนเดิมที่เคยบริหาร เขาก็ทำแบบเดิม เราต้องสร้างประเพณีเดิมกลับมาให้ได้คือใครได้อันดับหนึ่งก็ให้คนนั้นเป็นแกนตั้งรัฐบาลและให้เป็นนายกฯด้วย ไม่เช่นนั้นต่อไปการเมืองไทยจะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง เมื่อตั้งพรรคมาก็ลุ้นแค่ 25 ที่นั่ง และไปลุ้นอีกรอบหนึ่ง ผมอยากให้ธรรมเนียมที่ดีที่สร้างมาตั้งแต่พฤษภาคม 2535 เอากลับมาใช้ให้ได้ คือนายกฯต้องเป็น ส.ส.แล้วต้องมาจากพรรคอันดับหนึ่ง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image