‘ปุรวิชญ์’ ลั่น มีคนเตือนแล้ว ‘พิชาย’ เชื่อเลือก ส.ว.มีฮั้วแน่ คาดฝ่ายปชต.ได้เกิน 70

‘ปุรวิชญ์’ ลั่น มีคนเคยเตือนแล้ว – ‘พิชาย’ เชื่อเลือก ส.ว.มีฮั้วกันแน่ คาใจตรวจสอบยิบ ก่อนหน้านั้นกริบ คาดฝ่ายปชต.ได้เกิน 70

เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ที่ห้องจิ๊ด เศรษฐบุตร (LT.1) คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ คณะนิติศาสตร์ มธ. ร่วมกับ โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) และ เครือข่ายเยาวชนสังเกตการณ์การเลือกตั้งเพื่อประชาธิปไตย (We Watch) จัดงานเสวนาและแถลงข่าว “บอกเล่าประสบการณ์ผู้สมัคร ส.ว. ดวงแตก”

ต่อมา เวลา 14.00 น. มีการแถลงข่าวเรื่อง “ติดตามผลและปัญหาการเลือก ส.ว. : ข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไขไม่ให้มีการล้มกระดาน” นำโดย ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,ดร.ปุรวิชญ์ วัฒนสุข คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, นายกฤต แสงสุรินทร์ ตัวแทน We Watch และ ดำเนินรายการโดย รศ.ดร.วรรณภา ติระสังขะ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ในตอนหนึ่ง รศ.ดร.พิชาย กล่าวว่า การเลือกตั้ง ส.ว.ครั้งนี้ต้องยอมรับว่ามีการจ้างมาเลือกกันจริง แต่ไม่ใช่ทุกพื้นที่ พื้นที่ที่อาจจะมีการจ้างกันมากจะเป็นพื้นที่ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลไม่เป็นของกลุ่มเครือข่ายนักการเมืองเก่า ก็เป็นของกลุ่มลัทธิ ศาสนา ในกลุ่มทุกเครือข่ายผูกขาด หรือบางพื้นที่อาจจะอยู่ในพื้นที่ของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ด้วย พวกพื้นที่เหล่านี้ในรอบระดับอำเภอมีคนมาฟ้องกันจนตนหูชา ตั้งแต่นราธิวาสยันไปถึงเชียงราย มีจริงแต่ว่าไม่ใช่ทุกพื้นที่ หลายพื้นที่เป็นไปอย่างอิสระและมีการเลือกกันโดยอาศัยการแนะนำแลกเปลี่ยน อันนี้ก็มีจริง

ADVERTISMENT
รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

“การฮั้วนั้น ไม่ใช่เหตุที่จะทำให้เลื่อนหรือว่าเลิกการเลือกตั้งแต่อย่างใด เพราะไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งทั่วไปแบบประชาชนมันก็มีข้อบกพร่อง มีการซื้อเสียงกัน เป็นภาวะเป็นแบบแผนที่เกิดขึ้นในสังคมไทยแต่ไม่ใช่เป็นธรรมชาติ เป็นขั้นตอนหนึ่งของการพัฒนาประชาธิปไตย ท้ายที่สุดมันจะหายไปเอง

การเลือก ส.ว.ครั้งนี้เราสามารถคาดการณ์ได้ว่ามีการฮั้วกันแน่ ถ้าให้มีการเลือกกันเองในกลุ่มอาชีพ เพราะว่าคนไทยในยุคสมัยนี้เป็นนักจัดตั้งหลายกลุ่มหลายคนก็อยากจะเข้ามาแชร์อำนาจ ซึ่งระบบการเลือกตั้ง ส.ว.แบบนี้มันเปิดโอกาสให้กลุ่มพลังต่างๆ ในสังคมเข้ามาแชร์อำนาจรัฐ และคิดว่ามันดีกว่าให้กลุ่ม คสช. มาจิ้มเอา 7-8 คนไหม ต้องดีกว่าอยู่แล้ว ฉะนั้นระบบการเลือกตั้งแบบนี้ถึงแม้ว่ามันยังไม่สมบูรณ์แต่มันยังดีกว่าการเอาปืนมาจี้พวกเราและบอกว่าจะเลือกคนนั้น คนนี้ เหมือนกับการเลือก ส.ว.ครั้งที่แล้ว” รศ.ดร.พิชาย กล่าว

ADVERTISMENT

รศ.ดร.พิชาย กล่าวต่อว่า ในการตรวจสอบการเลือก ส.ว. ประชาชนตรวจสอบได้แต่การตรวจสอบเท่าที่ตนมีการไปจับตาสังเกตุการณ์ดูอยู่ตอนนี้มันมีอยู่ 2 จุดประสงค์หลักอย่างการตรวจสอบของ iLaw ของ ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล เราตรวจสอบในฐานะประชาชนที่อยากให้กระบวนการการเลือกนั้นมีประสิทธิภาพโปร่งใสและประชาชนมีส่วนร่วม เพราะฉะนั้น จะมีการเสนอข้อเสนอแนะเพื่อให้ กกต. ปรับปรุง หรือไม่ก็อาจจะจิกกัด กกต. บ้างเพื่อให้ไปปรับปรุง แต่รู้สึกว่ามันมีกลุ่มบางกลุ่มที่พยายามอาศัยข้อบกพร่องของการเลือกเพื่อที่จะล้มการเลือก ส.ว. และบางกลุ่มนั้นอาจจะเป็นกลุ่มที่เป็น ส.ว.อยู่ในขณะนี้ด้วยก็ได้

“ทำให้มองว่า เอ๊ะ ตอนที่คุณได้รับการจิ้มเมื่อปี 2562 ทำไมคุณไม่ตรวจสอบเลยคุณและพรรคพวกคุณที่ได้มาเป็นข้าราชการเกษียณ ทหาร ตำรวจ เป็นกลุ่มทุน เกือบครึ่ง ทำไมถึงไม่ตรวจสอบ และพอให้ประชาชนเข้ามามีโอกาสบ้างคุณตรวจสอบจังเลย และพยายามที่จะทำให้การเลือก ส.ว.ครั้งนี้ด้อยค่าเพื่อจะนำไปสู่การล้ม เรื่องนี้เราก็ต้องสงสัยในการตั้งเจตนาได้ว่าเจตนาเป็นยังไงกันแน่เพราะว่าถ้าหากว่าเลือกไม่ได้แล้วใครได้ประโยชน์ ก็ ส.ว.ที่คสช.ตั้งมานั่นแหละ ฉะนั้นใครมีเจตนาแบบนี้ เลิกทำซะ และตรวจสอบกันเพื่อเสนอให้ปรับปรุงแทน”รศ.ดร.พิชาย กล่าว

รศ.ดร.พิชาย กล่าวต่อว่า เมื่อมีสนามการเลือกที่ประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องเราต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า มันเป็นเวทีที่ทำให้กลุ่มพลังในสังคมเข้าไปแก่งแย่งชิงดีกัน เพื่อที่จะเข้ามาอยู่ในตำแหน่งของอำนาจรัฐ เป็นเรื่องปกติเพราะเราไม่ได้เอาปืนไปชี้ใครและยึดตำแหน่งมา เราต้องแข่งขันกันตามกติกาที่ออกแบบมาให้ ฉะนั้นเมื่อเป็นแบบนี้ ภาพที่ออกมาคือ เครือข่ายนายใหญ่ หรือ เครือข่ายตระกูลชิน เขาวางไว้หลายจังหวัด แม้กระทั่งจากที่ได้ข่าวมาจังหวัดนนทบุรี ก็วางและอีกหลายจังหวัด ทำไมเครือข่ายตระกูลชินต้องทำแบบนี้ เหตุผลเพราะว่าเขาเอาส.ว.เป็นฐาน เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับรัฐบาล หรือ ส.ส.

“ยิ่งกว่านั้นมีความเป็นไปได้ว่าปีนี้จะมีการเลือก กรรมการองค์การอิสระหลายองค์การ ฉะนั้นถ้าคุณกุม ส.ว.ได้คุณก็สามารถเลือกคนที่ไม่เป็นปรปักษ์เข้ามาทำหน้าที่ในองค์การอิสระได้ ซึ่งเมื่อคนเหล่านั้นได้ทำหน้าที่เขาก็อาจจะพิจารณาเรื่องที่คุณถูกบางฝ่ายร้องเรียนด้วยใจเป็นธรรมมากขึ้น และคุณก็มีโอกาสรอด พูดง่ายๆ คือมีความมั่นคงทางการเมืองมากขึ้น เพราะฉะนั้นมันก็เป็นแรงปราถนาที่จะเข้าไปคุม” รศ.ดร.พิชายกล่าว

รศ.ดร.พิชาย กล่าวต่อว่า ส่วนเครือข่ายอีกกลุ่มหนึ่งเป็นเครือข่ายของนักการเมืองแบบบ้านใหญ่ทั่วไป พวกนี้ไม่ได้มีอะไรมากเพียงแต่อยากจะขยายฐานทางการเมืองของตัวเองเข้าไปเพื่ออาจจะช่วยหนุนเสริมฐานะทางการเมืองของตัวเอง ที่อาจจะมีปัญหา อีกเครือข่ายที่เห็นได้เยอะเลยคือ ข้าราชการ รวมทั้ง กอ.รมน. พวกนี้เข้าไปเพื่อสกัดเครือข่ายประชาธิปไตยโดยเฉพาะในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีความชัดเจนมากพอสมควร เครือข่ายข้าราชการเกษียณสามารถส่งคนเข้าไปได้หลายกลุ่มตั้งแต่ กลุ่มบริหาร กลุ่มศึกษา กลุ่มสาธารณสุข กลุ่มสตรี แม้แต่กลุ่มผู้สูงอายุก็ได้ ฉะนั้น 3 เครือข่ายนี้ลองคิดดูว่าภาพ ส.ว.เป็นยังไงอาจจะถึงครึ่งแล้วก็ได้ ยังมีอีกเครือข่ายหนึ่งคือ เครือข่ายของกลุ่มธุรกิจ กลุ่มทุน ซึ่งพวกนี้ก็อยากจะมีตัวแทนเข้ามานั่งใน ส.ว.เพื่อที่จะปกป้องธุรกิจเผื่อมีกฏหมายอะไรที่มันแหลมมา เช่น กฏหมายพลังงาน เป็นต้น

“การระบุอาชีพของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ในกลุ่มธุรกิจแบ่งได้ถึง 5 กลุ่มย่อยหมายความว่าจะมีคนจากภาคธุรกิจเข้าไปอย่างต่ำ 50 คนซึ่งใน 50 คนนี้อาจจะมีผู้รักประชาธิปไตยเข้าไปบ้างแต่ก็อาจจะมีตัวแทนของกลุ่มทุนเข้าไปเพราะว่านักธุรกิจจำนวนมากก็เป็นผู้รักประชาธิปไตย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ผมคาดการณ์แบบเข้าข้างตัวเองว่า ฝ่ายที่มีจิตใจสนับสนุนประชาธิปไตยจะเข้าไปได้เกิน 70 คนเพื่อที่จะช่วยกันขับเคลื่อนรัฐธรรมนูญได้ และฝ่ายที่เหลือ 3-4 กลุ่มรวมกันได้ประมาณร้อยกว่าคน ฝ่ายนั้นก็สามารถกุมสภาพในการจิ้มคนไปนั่งคณะกรรมการองค์การอิสระได้” รศ.ดร.พิชายกล่าว

รศ.ดร.พิชายกล่าวต่อว่า ฉะนั้นเพื่อที่จะให้การจัดตั้งลดน้อยลง การเลือกตั้งในระดับจังหวัดก็ควรจะช่วยกันตรวจสอบให้มากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการถ่ายวิดีโอ คลิปเสียง หรือ กกต.ก็อาจจะกำหนดเป็นนโยบายเลยก็ได้ว่าหลังจากเสร็จสิ้นในรอบเลือกกันเองควรจะมีการแนะนำตัวคนละกี่นาที ทำให้เป็นรูปแบบทุกจังหวัด ผู้สมัครจะได้ตัดสินใจว่าจะเลือกใครดี คนที่ยังไม่รู้จะเลือกใครคือคนที่ความคิดอิสระแต่ยังไม่รู้จะเลือกใคร

ส่วนคนที่จัดตั้งมาก็จะรู้อยู่แล้วว่าเลือกใครคงไปทำอะไรเขาไม่ได้แต่ถ้าเราสามารถทำให้คนที่มีความคิดอิสระรู้ได้ว่าควรเลือกคนไหนที่มีคุณสมบัติดีและไม่มีสังกัดเครือข่ายใด ก็จะเป็นการเปิดโอกาสที่จะได้ ส.ว.ที่เป็นตัวแทนปวงชน เข้ามา

“ใครที่ได้รับจนได้เป็น ส.ว.แล้วก็อย่าเพิ่งดีใจมันมีความเป็นไปได้ว่าในตอนนี้แต่ละขั้นตอนในภาคประชาชนเขามีการเก็บหลักฐานอยู่ และถ้ามีเพียงพอก็สามารถยื่นเรื่องต่อ กกต. แล้วให้สอยทีหลังได้เหมือนกัน ฉะนั้นหลังการเลือกเสร็จสิ้นประชาชน ก็ยังมีหน้าที่ในปฏิบัติการสอย ส.ว. ฮั้ว” รศ.ดร.พิชายกล่าว

ด้าน ดร.ปุรวิชญ์ วัฒนสุข กล่าวว่า จากที่เห็นการเลือกระดับอำเภอ และได้ฟังผู้สมัครที่ตกรอบมาเล่าประสบการณ์มันยืนยันได้ว่า เรื่องที่ ทาง กกต.บอกว่าต้องแบ่งเป็น 20 กลุ่มโดยให้เหตุผลว่า ป้องกันการจัดตั้งได้ มันไม่จริง ในตอนแรก 20 กลุ่มส.ว.เป็นเจตนารมณ์ของ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ตั้งแต่สมัยร่างรัฐธรรมนูญแล้วถ้าไปดูในบทเฉพาะการณ์จะเขียนไว้ว่าให้ กรธ. ร่างกฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญด้วยซึ่ง 1 ในนั้นคือ พ.ร.ป. ส.ว. ให้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณา ตามเอกสารที่ได้ไปค้นมาในชั้น สนช. มีการยุบให้เหลือเพียงแค่ 10 กลุ่ม และ ยกเลิกการเลือกไขว้ เพราะมี สนช. ท่านหนึ่งเป็นอดีตองค์การอิสระทักท้วงว่าการทำแบบนี้เคยใช้วิธีเลือกกันเองในหน่วยงานบางหน่วยงานมาแล้ว ปรากฏว่าไม่สามารถป้องกันการจัดตั้งได้

ดร.ปุรวิชญ์ วัฒนสุข

“แสดงให้เห็นว่ามีคนบอกตั้งแต่วาระแรกเริ่มแล้ว การใช้วิธีนี้จะนำไปสู่การฮั้วมันบล็อกกันไม่ได้ พอผ่านวาระ 1 วาระ 2 จนมาถึงร่างสุดท้ายที่ผ่านการเสนอจาก สนช. ไม่มีการเลือกไขว้และกลุ่มอาชีพเหลือแค่ 10 กลุ่ม แต่ถ้าไปอ่านในบทเฉพาะกาล พ.ศ.2560 จะต้องมีการให้ กรธ. พิจารณาอีกครั้งว่าตรงตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งในตอนนั้น กรธ. ให้ความเห็นว่าไม่ตรงจึงต้องกลับไปใช้ 20 กลุ่มอาชีพแรกเหมือนเดิม

พอตอนนี้มีคำร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญที่บอกว่า พ.ร.ป.ส.ว. มีเนื้อหาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มันไม่ตลกเหรอว่าตอนนั้นที่ให้ กรธ. ตรวจว่าตรงตามเจตนารมณ์หรือเปล่า และมีการแก้แล้วตรวจแล้วกลับให้ใช้ตามร่างแรก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image