ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
---|
สถานีคิดเลขที่ 12 : ‘การเมืองสีเทา’ ที่เราปรารถนา?
ความเปลี่ยนแปลงสำคัญใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นหลังยุค “รัฐบาลไทยรักไทย” เป็นต้นมา คือ แนวโน้มที่สังคมการเมืองไทยจะดำเนินไปในวิถีทางแห่งสันติยิ่งขึ้น
กล่าวคือ จากที่เคยตัดสินผลแพ้ชนะหรือปัญหาต่างๆ ทางการเมืองกันด้วยอำนาจ อิทธิพล และความรุนแรงหรือกระสุนปืน
ภารกิจหลักว่าด้วยการตัดสินผลแพ้ชนะและแก้ไขปัญหาจิปาถะในสังคมการเมืองตลอดระยะ 10-20 ปีหลัง กลับถูกถ่ายโอนไปยังคูหาเลือกตั้ง บัตรลงคะแนนเลือกตั้ง ความรู้สึกนึกคิดของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ที่ยึดโยงเข้ากับชุดนโยบายของพรรคการเมืองที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง
พูดง่ายๆ คือ ตัวละครทางการเมืองไทยคล้ายจะต่อสู้กันอย่างมีอารยะมากขึ้น
ต้องหมายเหตุไว้หน่อยว่า แม้วิถีการเมืองเช่นนั้นจะถูกขัดขวางด้วยการทำ “รัฐประหาร” ถึงสองครั้ง โดยมีการใช้รถถังและอาวุธปืนมา “ฉีกรัฐธรรมนูญ” ตลอดจนเกิดเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย
แต่ท้ายที่สุด “รถถังและปืนของกองทัพ” ก็ต้านทานอำนาจประชาชนในคูหาเลือกตั้งไม่ได้ตลอดไป (กระทั่งต้องมีการออกแบบกฎกติกาที่แนบเนียนยอกย้อนขึ้น มาจัดการบิดเบือนเจตจำนงของประชาชน)
หรืออย่างน้อยที่สุด ทุกฝ่ายก็รู้ดีว่า ปัญหาสารพันในสังคมการเมืองไทยนั้นไม่อาจแก้ไขได้ด้วย “การใช้อำนาจแบบทหาร”
เมื่อพินิจพิเคราะห์มาถึงจุดดังกล่าว กระบวนการเลือกตั้งจึงยังมีความสำคัญ การออกแบบนโยบายจึงยังมีความสำคัญ และการใช้ความรุนแรงก็ยังคงเป็นทางเลือกระดับรองๆ อยู่
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันนี้ กลับทำให้พวกเราได้พบเห็น “ภาพเก่าๆ” ของสังคมการเมืองไทยในยุค 3-4 ทศวรรษที่แล้ว
นั่นคือภาพการแก้ไขปัญหาทางการเมือง หรือปัญหาของการต่อรองผลประโยชน์ในระดับท้องถิ่น ด้วยอาวุธปืน ซึ่งจบลงด้วยการมีนักการเมืองท้องถิ่นต้องสังเวยชีวิต
ในเชิงรายละเอียด มูลเหตุจูงใจ และผู้กระทำความผิดของคดีความดังกล่าว คงต้องปล่อยให้พันธกิจในการคลี่คลายปมปริศนาเหล่านั้น เป็นหน้าที่ของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมต่อไป
แต่หากมองในภาพที่ใหญ่ขึ้น เราอาจตั้งคำถามได้เช่นกันว่า เมื่อเจตนารมณ์ในบัตรเลือกตั้งของประชาชนถูกบิดพลิ้วบ่อยๆ เป็นกิจวัตร เมื่อพรรคการเมืองที่อยากเอาตัวรอด หรืออยากเข้าถึงอำนาจในระบบการเมืองแบบไทยๆ จำเป็นต้องกลับไปพึ่งพา “บ้านใหญ่” ในจังหวัดต่างๆ อย่างจริงจังอีกครั้ง
ด้วยสภาพการณ์ทำนองนี้ ส่งผลให้ “วิธีการแก้ไขปัญหาแบบเก่าๆ” หวนกลับมาพร้อมกับ “วิถีการเมืองแบบเก่าๆ” ใช่หรือไม่?
ยังไม่นับว่า ณ ห้วงเวลาใกล้เคียงกัน เราได้พบเห็นกระบวนการ “แฉทางการเมือง เพื่อต่อรองผลประโยชน์กันแบบ ยื่นหมูยื่นแมว” มากกว่าจะเป็นการ “เปิดโปงความไม่ชอบมาพากลต่างๆ” เพื่อนำไปสู่การสะสางกรณีการทุจริตประพฤติมิชอบกันอย่างตรงไปตรงมาจริงๆ
โดยปรากฏการณ์ “เทาๆ” เหล่านี้ ต่างมีสถานะเป็น “ข่าวการเมืองหัวข้อสำคัญ” ที่สาธารณชนให้ความสนใจยิ่งกว่าข่าวการแถลงผลงานของรัฐบาล หรือข่าวการประชุมสภา
ผู้แทนราษฎรเสียอีก
คำถามมีอยู่ว่า นี่คือวิถีการเมืองที่สังคมไทยปัจจุบันกำลังต้องการจริงๆ หรือ? นี่คือวิถีการเมืองที่ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้ต้องการจริงๆ หรือ? นี่คือวิถีการเมืองที่ประชาชนคนส่วนใหญ่ปรารถนาจริงๆ หรือ?
ปราปต์ บุนปาน