สถานีคิดเลขที่ 12 : พึ่งผู้ ‘กล้าทำ’ โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

ปัญหาที่ถาโถมเข้าใส่ พรรคเพื่อไทย ที่ไม่อาจผลักดันนโยบายเรือธง ให้บรรลุ เผชิญสงครามการค้าและสงครามเศรษฐกิจ อันหนักหน่วง ซึ่งลุกลามไปสู่ปัญหาการเมือง ที่มีแรงกดดันให้ปรับคณะรัฐมนตรี เพื่อปะผุปัญหาต่างๆ มากขึ้นทุกที

ขณะที่ นายทักษิณ ชินวัตร ผู้มีบารมีนอกเพื่อไทย ต้องยืดเยื้อกับกรณี ชั้น 14 อย่างเหนือความคาดหมาย และกลายเป็นความไม่แน่นอนของครอบครัว “ชินวัตร” ที่ไม่อาจวางใจอะไรได้

ทุกย่างก้าวต้องระมัดระวัง

ระมัดระวัง กับภาวะที่พรรคเพื่อไทยและครอบครัวชินวัตร ไม่ได้เป็นศูนย์กลางจักรวาลทางการเมือง อย่างที่คาดหวังไว้อีกต่อไป

จึงต้องมองหา “ตัวช่วย” มาประคับประคอง ไม่ให้ภาวะ “ขาลง” ไหลลึกไปมากกว่านี้

ADVERTISMENT

ตอนนี้ ในทางการเมือง มีการจับตามองไปยังบทบาทของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และพรรคกล้าธรรม มากยิ่งขึ้น

เพราะถูกมองว่า นี่อาจเป็น “ตัวช่วย” สำคัญอีกตัวหนึ่งของพรรคเพื่อไทยและ “ชินวัตร”

ต้องยอมรับว่า ขณะนี้พรรคการเมือง ที่รองไปจากเพื่อไทย พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทยแล้ว

ไม่มีพรรคไหนโดดเด่น แถมยังอยู่ในภาวะขาลงทั้งสิ้น

อย่างพรรคเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์ ผลคะแนนการเลือกตั้งซ่อมเขต 8 ที่ จ.นครศรีธรรมราช น่าใจหายอย่างยิ่ง

เพราะมันสะท้อนให้เห็นถึงการไม่สามารถรักษาฐานที่มั่นในภาคใต้เอาไว้ได้อีกแล้ว

ทำให้สนามเลือกตั้งภาคใต้ กลายเป็นโอกาสของพรรคต่างๆ ที่จะเข้าไปเบียดชิงเก้าอี้ ส.ส.

ซึ่งแน่นอน นอกเหนือจากพรรคภูมิใจไทยแล้ว ชัยชนะจากการเลือกตั้งซ่อมนครศรีธรรมราช ทำให้พรรคกล้าธรรมของ ร.อ.ธรรมนัส โดดเด่นขึ้นมาอย่างจับตา ว่าจะเป็นพรรคที่มีบทบาทสำคัญ

สำคัญในขณะที่พรรคเพื่อไทย คงไม่อาจแจ้งเกิดในภาคใต้ได้

คงต้องอาศัยแนวร่วมอย่างพรรคประชาชาติ และในอนาคตก็คือพรรคกล้าธรรม เป็นคนที่เข้าไปแชร์เก้าอี้ ส.ส. จากพรรคภูมิใจไทย ที่ก็หวังจะผงาดในพื้นที่ภาคใต้เช่นกัน

ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ ที่เข้าไปปักธงในภาคใต้หลายพื้นที่โดยอาศัยพลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

แต่วันนี้ “พลัง” จาก พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตร ลดน้อยถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ

มิเพียงแต่จะรักษาพื้นที่ภาคใต้ไม่ได้เท่านั้น

ในทางการเมืองโดยรวม พรรครวมไทยสร้างชาติก็เริ่มรวนเร ซึ่งตอนนี้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค กำลังเผชิญข้อกล่าวหาเรื่องหุ้นบริษัทของครอบครัว อย่างน่าเป็นห่วงว่าอาจจะ “หัวคะมำ” ทางการเมืองได้

และนั่นอาจทำให้พรรครวมไทยสร้างชาติ ต้องเปลี่ยนไป

เปลี่ยนไปใน “เชิงถดถอย” อย่างหลีกเลี่ยงยาก

ส่วนพรรคพลังประชารัฐ แม้ พล.อ.ประวิตรจะพยายามรักษาพรรคเอาไว้เต็มที่ แต่ก็ไม่อาจมั่นใจได้เลยว่า ส.ส.ปัจจุบันจะอยู่กับพรรคต่อไป

โอกาสที่ ส.ส.จะแปรพักตร์ไปอยู่พรรคอื่นสูงมาก ซึ่งตอนนี้ ที่พูดถึงกันมากคือส่วนหนึ่งอาจจะไปซบพรรคภูมิใจไทย

และส่วนหนึ่งจะมาช่วยเสริมบารมี ร.อ.ธรรมนัส ซึ่ง “กล้าทำ” และกล้า “ซื้อใจ” ให้นักการเมืองทั้งในและนอกสภา เข้ามาร่วม

ดังนั้น แนวโน้มที่ ร.อ.ธรรมนัสและพรรคกล้าธรรม จะยืนเหนือพรรคประชาธิปัตย์ รวมไทยสร้างชาติ และพลังประชารัฐ สูงมาก

นั่นก็หมายถึง การผงาดขึ้นมาเป็นตัวแปรทางการเมืองสำคัญ

และแน่นอน พรรคเพื่อไทยและครอบครัวชินวัตร ย่อมรีบยื่นมือเข้าไปเกี่ยวก้อยให้ ร.อ.ธรรมนัสและพรรคกล้าธรรม ให้มายืนเคียงข้าง

เพราะในภาวะ “ขาลง” การได้คนและพรรค ที่ขึ้นชื่อเรื่อง “กล้าทำ” ในเรื่องต่างๆ

ย่อมเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาอย่างยิ่ง

สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร