สถานีคิดเลขที่ 12 : สงคราม ‘รวม(ไม่)มิตร’ โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

“สงคราม” ถูก “ส่งด่วน” ถึงทำเนียบรัฐบาล เป็นระรัว

ตั้งแต่ “สงครามการค้า” ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ยัดเยียดไปถึงประเทศต่างๆ ทั่วโลก เหมือนๆ กัน รวมถึงไทย

อย่างไรก็ตาม ในความเหมือนนั้น มีสิ่งที่แตกต่าง นั่นคือ “การรับมือ”

หลายประเทศ รับมือได้ดี ได้ดุล และทันการณ์

แต่ไทยนั้น ถูกวิพากษ์วิจารณ์การรับมือสงครามการค้า ที่ทรัมป์ส่งด่วนมาถึง ไม่ดีเท่าไหร่นัก

ADVERTISMENT

และถูกคาดหมายว่าจะฉุดดึงเศรษฐกิจให้เสื่อมถอยลง และมากกว่าประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในอาเซียน

ดังนั้น ผลแห่งสงครามนี้แค่ไทย “เสมอตัว” ก็ถือว่าดีแล้ว

อีกสงครามหนึ่ง คือ สงครามความมั่นคง

ที่ตอนนี้ “กัมพูชา” ส่งมาถึงรัฐบาลไทยแบบเล่นใหญ่ มากด้วยเขี้ยวคมและเล่ห์เหลี่ยม

ทำให้รัฐบาลไทย กว่าจะตั้งลำรับมือได้ ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าไม่ทันเกม

บีบและกดดัน ให้รัฐบาลไทยต้องเล่นไม้แข็ง ตีโต้กลับ

สถานการณ์จึง “ร้อนระอุ” ท่ามกลางกระแสชาตินิยม

ซึ่งหมิ่นเหม่และหวาดเสียวยิ่ง

แม้สงครามระหว่างไทย-กัมพูชา ตอนนี้ อยู่ในลักษณะ “สงครามเย็น”

คืออยู่ในระดับ การต่อสู้ทางความคิด การต่อสู้ทางจิตวิทยา การต่อสู้ในทางการทูต

เรื่อยไปถึง การโชว์กำลังพล โชว์สรรพาวุธ โชว์แสนยานุภาพทางการทหารของตน

มีการใช้สื่อและโฆษณาชวนเชื่อเพื่อโจมตี ฝ่ายตรงข้าม

และตอนนี้ กำลังพัฒนาไปสู่ข้อเสนอให้ทำสงครามทางเศรษฐกิจ ด้วยการ “ปิดด่าน”

ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า สถานการณ์จะบีบให้ไปถึงตรงนั้นหรือไม่

แต่ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นจริงๆ

นั่นก็คือ “สงครามเย็น” ต้องไม่ย่ำแย่ลงจนกลายเป็น “สงครามร้อน”

ร้อนจากการลั่นกระสุนเข้าใส่กัน ซึ่งจะสร้างผลกระทบมหาศาล

ซึ่งตรงนี้ท้าทาย “ผู้นำ” ทั้งสองฝ่ายยิ่ง แต่ฝ่ายกัมพูชา เราคงเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้มากนัก

แต่ฝ่ายนำไทย ทั้งฝ่ายการเมือง และฝ่ายทหาร คงต้องสร้างความสมดุล และได้สัดส่วน ต่อสถานการณ์ให้ดี

เพื่อไม่ให้ถลำลึกไปสู่ “การรบ” ซึ่งในที่สุดจะไม่มีฝ่ายใดชนะเลย

ขณะที่กำลังเผชิญสงคราม (เย็น) จากภายนอก พร้อมๆ กันนั้น รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ก็กำลังเผชิญสงคราม (เย็นยะเยือก) ภายใน

นั่นก็คือ กระแสปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งกำลังเป็นการวัดกำลัง ระหว่างพรรคเพื่อไทย กับพรรคภูมิใจไทย

ซึ่งเราจับต้องได้ถึงบรรยากาศ ของการต่อรองอย่างหนักของทั้งสองฝ่าย

พรรคเพื่อไทย แน่นอนวาดหวังที่จะดึงเอากระทรวงสำคัญอย่าง “มหาดไทย” กลับมาอยู่ในกำมือ

ขณะที่พรรคภูมิใจไทย ก็แก้ลำด้วยข้อเสนอให้เซตซีโร่ เริ่มต้นเจรจาแบ่งสรรอำนาจกันใหม่ในรัฐบาล ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็คงกระเพื่อมใหญ่

เพราะพรรคร่วมอื่นๆ ก็ขยับเขยื้อนทั้งโดยสงบ และโดยการหักล้างกันเองภายในพรรคเพื่อร่วมแบ่งปันและแย่งชิงอำนาจ

การเมืองในขณะนี้ จึงเต็มไปด้วยการต่อรอง การหยั่งเชิง ทำ “สงครามตัวแทน” รวมไปถึงทำ “นิติสงคราม” ผ่านองค์กรอิสระและนักร้องเรียนทั้งหลาย

ภาวะดังกล่าว แน่นอนย่อมสร้างภาวะไร้เสถียรภาพต่อรัฐบาล

เพราะด้วยที่สุด สงครามการค้า สงครามความมั่นคง สงครามการเมือง ที่ถูกส่ง “ด่วน” เข้าสู่ทำเนียบเป็นระลอกๆ

จะกลายเป็นสงคราม “รวมมิตร” (ที่ไม่ใช่มิตร) นำพาให้ประเทศเข้าใกล้ภาวะรัฐที่เปราะบางยิ่งขึ้นทุกที

สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร