ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
---|
ไทย-กัมพูชา – ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชารอบปัจจุบัน ลื่นไถลออกไปจากลู่ทางที่สมควรมามากพอแล้ว
ดังนั้น นี่จึงเป็นภารกิจของทุกฝ่ายที่จะดึงเกมทั้งหมดกลับมาอยู่ในตำแหน่งแห่งที่อันเหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง
ประการแรก ในแง่เกมการเมืองระหว่างประเทศ
การดำเนินการตอบโต้ทางการทูต ตลอดจนการดำเนินการใดๆ ในเรื่องเขตแดน อย่างแข็งกร้าว ฉับพลัน นั้นสามารถกระทำได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวล คือ ในขณะที่ผู้มีอำนาจฝั่งรัฐบาลกัมพูชา คล้ายจะล่วงรู้ปมปัญหาในจิตใจของประชาชนคนไทย จุดอ่อนของรัฐบาลไทย และช่องโหว่รอยแตกร้าวระหว่างผู้มีอำนาจกลุ่มต่างๆ ของรัฐไทยเป็นอย่างดี
แต่พวกเรา สังคมไทย รัฐไทย กลับไม่ค่อยรู้ตื้นลึกหนาบางของฝ่ายกัมพูชาสักเท่าไหร่
ยกตัวอย่างเช่น เราไม่รู้ชัดว่าการที่รัฐบาลกัมพูชาเลือกต่อสู้ผ่านช่องทางศาลโลกอีกคราวนั้น เป็นเพราะเขามีหลักฐานสำคัญอะไรอยู่ในมือ ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่าตนเองจะเป็นฝ่ายได้เปรียบไทย หรือไม่
ประการที่สอง สังคมการเมืองไทยต้องเชื่อมั่นยึดมั่นในหลักการ “การเมือง-การทูตนำการทหาร”
แน่นอน หากการทำงานด้าน “การเมือง” และ “การทูต” ณ ปัจจุบัน ย่อหย่อนประสิทธิภาพไป สังคมก็ย่อมสามารถช่วยวิพากษ์วิจารณ์ ติติงได้อย่างเต็มที่
สังคมไทย ประชาชนไทย ต้องกดดันให้ฝ่ายการเมืองแสดงศักยภาพเรื่องนี้ออกมาอย่างหนักแน่นกว่านี้
ขณะเดียวกัน แม้การสนับสนุน “ทหารอาชีพ” ซึ่งปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัดในพื้นที่ จะเป็นเรื่องที่กระทำได้
แต่สังคมต้องไม่มีส่วนสนับสนุนให้ทหารหรือกองทัพออกมาแสดงบทบาทนำ ล้ำหน้าฝ่ายการเมือง และออกมาชี้นำอารมณ์ความรู้สึกของสังคม โดยไม่ผ่านการอนุมัติเห็นชอบอย่างรอบคอบจากผู้นำรัฐบาล
เพราะนั่นจะก่อให้เกิดกระแส “ทหารนิยม-สงครามนิยม” และ “โปรรัฐประหาร” โดยไม่ทันรู้ตัว
ประการสุดท้าย ไม่ว่าเรื่องราวในศาลโลกจะดำเนินไปอย่างไร การกดดันทางการทูตและเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยจะได้ผลมากน้อยแค่ไหน หรือท้ายสุด ทั้งสองประเทศต้องรบราฆ่าฟันกันจริงๆ (ซึ่งไม่มีผู้ใดที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน อยากให้เกิด)
ไทยกับกัมพูชาก็ยังต้องอยู่ด้วยกัน มีผู้คนเดินทางข้ามแดนกันไปมา ในฐานะบ้านใกล้เรือนเคียง ที่ย้ายหนีจากกันไม่ได้
อารมณ์ความรู้สึกอันเร่าร้อนเมื่อเผชิญหน้าสถานการณ์ปัจจุบัน จึงควรยึดโยงอยู่กับการครุ่นคิดถึงฉากทัศน์ในอนาคต ที่ผู้คนธรรมดาจากทั้งสองประเทศยังต้องประสบพบเจอและมีปฏิสัมพันธ์กันไปจนถึงรุ่นลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า
เพราะมนุษย์อาจถูก “ปั่นหัว” ด้วยชุดข้อมูลต่างๆ จนสามารถโกรธเกลียดกันได้ พันธกิจของรัฐ ผู้มีอำนาจมีปากเสียงในสังคม รวมถึงสื่อมวลชนของทั้งสองประเทศ จึงได้แก่การพยายามสรรค์สร้างบรรยากาศให้ผู้คนทั้งสองชาติกลับมารู้จัก เข้าใจ และเป็นมิตรกันมากขึ้น
นอกจากนั้น ยังถึงเวลาที่พวกเราจะต้องยกระดับแนวคิดเรื่อง “เขตแดน” ระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ตายตัว มีความเป็นรั้วเป็นกำแพงที่จำแนกแบ่งแยกความแตกต่างระหว่าง “เรา” กับ “เขา” ให้แปรเปลี่ยนเป็น “พื้นที่พัฒนา” ซึ่งต่างฝ่ายต่างแสวงหาประโยชน์ร่วมกันได้
ปราปต์ บุนปาน