ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
---|
คํ่าวันที่ 8 มิถุนายน เมื่อทราบว่าข่าวทหารกัมพูชายอมถอนกำลังออกจากพื้นที่ พร้อมกลบคูเลตที่ขุดไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้บรรยากาศความตึงเครียดที่ก่อตัวมาตลอดสัปดาห์ที่แล้วเริ่มคลี่คลาย
การสลายความเครียดบริเวณชายแดนที่เกิดขึ้นต้องชมรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร เพราะตลอดเวลาที่เกิดเหตุ ทั้งนายกฯอิ๊งค์ ทั้งตระกูลชินวัตร ถูกกล่าวหาอย่างเสียหาย
บรรดากองแช่งไม่ทิ้งโอกาสที่จะรุมถล่มนายทักษิณ ชินวัตร และชักชวนพวกเกลียดชังทักษิณสนับสนุนแนวคิดของตัวเอง
แย่กว่านั้นคือบางความคิดยุยงให้เกิดการปฏิวัติยึดอำนาจอีกครั้ง
แต่ในที่สุด รัฐบาลก็ยืนยันที่จะคลี่คลายสถานการณ์ด้วยแนวทางสันติ และสามารถผ่านพ้นเหตุการณ์ตึงเครียดมาได้
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เราทราบว่า “แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ”
เมื่อใดที่ไทยแสดงอาการอ่อนแอ ศึกจากภายนอกก็พร้อมจะปะทุ ไม่ว่าจะเป็นชายแดนด้านใดก็ตาม
คนไทยจึงน่าจะได้คิดว่า ความขัดแย้งที่ผ่านมาได้บั่นทอนความแข็งแกร่งของประเทศลงไปมากจนถึงขั้นอาจจะเกิดศึกนอกได้ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เชื่อมั่นว่ากองทัพไทย ทั้งบก เรือ อากาศ มีความพร้อมในการตอบโต้ทางการทหารได้ทันทีหากเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นมา
การตระเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพยังมีความสำคัญ เพราะอาวุธต่างๆ หากมีพร้อม ย่อมเป็นการ “ป้องปราม” การเกิดสงครามได้ เพียงแต่อย่าหันปากกระบอกปืนที่ป้องกันประเทศ มาจี้จ่อคนไทยด้วยกันเหมือนเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ เหตุการณ์ครั้งนี้ยืนยันว่า การใช้วิธีการทูตควบคู่ไปกับการทหาร น่าจะได้ผลมากกว่าการใช้การนำทหารนำเหมือนดั่งที่ “สายเหยี่ยว” หรือกลุ่มคนที่นิยมใช้มาตรการเฉียบขาด ที่สนับสนุนให้ใช้กองกำลังทหารเข้าปะทะ ปะฉะดะ กับฝ่ายตรงข้าม โดยส่งเสียงเชียร์ดังลั่นมาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ดีนะที่รัฐบาลยังเป็น “สายพิราบ” มองสถานการณ์ออก ทั้งนายกฯแพทองธาร ทั้งนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังตบะแข็ง
แม้ในห้วงเวลาแรกอาจจะเงียบจนคนไทยสับสนว่าจะเอายังไงกันแน่ แต่พอเริ่มออกมาจัดการสถานการณ์ มีแถลงการณ์ตอบโต้ มีแถลงข่าวอธิบายให้คนไทยทราบ มีมาตรการที่ประกาศให้โลกรู้ มีการแบ่งงานระหว่างฝ่ายทหารกับรัฐบาลอย่างชัดเจน
อะไรๆ ก็เริ่มจะเข้าที่เข้าทาง
มาตรการตอบโต้ต่างๆ ได้รับการขานรับจากสังคม ไม่ว่าจะเป็นการจำกัดการเข้า-ออกด่าน ทั้งจำกัดห้ามคนบางกลุ่มผ่านแดน จำกัดการนำสินค้าเข้า จำกัดเวลาการเข้า-ออก
และกำลังจะใช้มาตรการตัดไฟฟ้าและตัดเน็ต
แต่สัญญาณการปรองดองเริ่มปรากฏ ไม่ทราบว่าฟากฝั่งไทยจะตัดสินใจอะไร
การที่ฝั่งกัมพูชายอมสั่งให้ทหารถอยไปอยู่ในจุดเมื่อปี 2567 และปรับพื้นที่กลับคืนสู่สภาพเดิม แล้วเปิดการพูดคุย ทำให้เห็นแสงแห่งสงครามมอดดับ
หวังว่าภายในไม่ช้าทุกอย่างจะค่อยๆ เข้าสู่ภาวะปกติ คนทั้งสองฝั่งเขาจะได้ใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะได้มั่นใจ แล้วมาเที่ยวทั้งสองประเทศ
สำหรับรัฐบาลแพทองธาร ถือว่าเหตุการณ์นี้เป็นการเริ่มต้นที่ดี
ทั้งไทยและกัมพูชาน่าจะใช้เวลาไปรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งหากแก้ไขได้ ประชาชนเขาจะสรรเสริญ
ชาวบ้านจะได้มองว่า มีรัฐบาลที่มุ่งสร้างสรรค์ ไม่ใช่ชอบทำสงคราม
ณ เวลานี้ ถือว่าทั้งไทยและเขมรมาถูกทาง และหวังว่าการพูดคุยกันในวันที่ 14 มิถุนายน จะเป็นสัญญาณดีของประเทศทั้งสอง
นฤตย์ เสกธีระ
[email protected]