ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
---|
การประชุมเจบีซี เพิ่งเสร็จสิ้นลง ถือเป็นกลไกการเจรจาทวิภาคีของไทยกับกัมพูชาที่ประเทศไทยยอมรับ
ส่วนข้อเสนอของกัมพูชาที่ชักชวนให้ไทยนำเรื่องข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนขึ้นศาลโลกนั้น ไทยได้ปฏิเสธมาตั้งแต่วันแรกของการประชุมเจบีซี
แม้นายกฯฮุน มาเนต จะยื่นเรื่องให้ศาลโลกไปพิจารณาก็ถือเป็นการยื่นเรื่องแต่ฝ่ายเดียว
ทั้งนี้เพราะตั้งแต่ปี 2503 หลังคดีปราสาทพระวิหารไทยก็ประกาศไม่รับอำนาจศาลโลก หรือไม่รับอำนาจศาลโลกแบบบังคับ
หมายความว่า หากจะนำข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลโลก จะต้องได้รับความยินยอมจากฝ่ายไทยด้วย
ดังนั้น กรณีข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาครั้งนี้ ทางไทยจึงประกาศครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ไม่รับอำนาจศาลโลก
แม้ทางฝ่ายกัมพูชาจะชักชวน แม้ฝ่ายกัมพูชาจะพยายามเสนอให้มีการบันทึกในการประชุมเจบีซี แต่ฝ่ายไทยก็ออกมาตอกย้ำว่าไม่ยื่นศาลโลก
น่าสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ผู้นำฝ่ายกัมพูชาได้ประกาศจะไม่นำเรื่องข้อพิพาทไม่ว่าจะเป็นเรื่องปราสาท 4 ปราสาท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นที่ทับซ้อนใดๆ เข้าสู่การประชุม แต่พอถึงเวลาก็พยายามสอดแทรกเรื่องนี้เข้าไป เพื่อให้มีการบันทึก ซึ่งแสดงว่าประเด็นเรื่องศาลโลกนั้นมีความหมาย
ดังนั้น การที่ไทยไม่รับอำนาจศาลโลก และยืนยันใช้กลไกการเจรจาทวิภาคีที่ไทยกับกัมพูชามีอยู่ จึงถือเป็นการระงับการรุกของกัมพูชา
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่างานของทางการไทยคงจะหยุดแค่การประชุมเจบีซีไม่ได้แล้ว ในทางตรงกันข้ามไทยมีการบ้านที่ต้องดำเนินการในกรณีนี้อย่างต่อเนื่องอย่างเป็นระบบต่อไปเรื่อยๆ
ทั้งการจัดการปัญหาชายแดนไทยและกัมพูชา ทั้งต้องมีสมาธิกับเศรษฐกิจชายแดน ทั้งตรวจแถวสินค้าการเกษตร ปัญหาแรงงาน การทำความเข้าใจต่อนานาชาติเป็นระยะๆ ทุกอย่างต้องทำใจว่าอาจต้องใช้เวลาอีกนาน
ขณะที่แนวปะทะทางการทูตระหว่างไทยกับกัมพูชาต้องใช้เวลา ประเทศไทยต้องหันกลับมาสำรวจความเข้มแข็งของตัวเองให้ละเอียด
กรณีที่ท่านทูตประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ถึงกับระบุ“นึกว่าพวกเราจะไว้ใจได้” เป็นอีกสัญญาณที่สะท้อนสภาพของประเทศไทยในปัจจุบัน
ยิ่งไล่ดูคอมเมนต์ของคนไทยที่มีต่อรัฐบาลไทย ยิ่งมองเห็นสภาพของประเทศไทยชัดแจ้ง
ประเทศไทยอ่อนแอจากภายใน และเป็นความอ่อนแอที่นานาชาติมองเห็น
ความอ่อนแอนี้มิได้เพิ่งเกิด แต่ได้เกิดจากสถานกาณ์ของไทยที่สั่งสมมาเป็นสิบปี ปัญหาคือจะแก้ไขอย่างไร
แต่ก่อนที่จะคิดว่าจะแก้ปัญหา สิ่งที่น่าจะชี้ให้ชัดคือปัญหาที่จะแก้นั้นคืออะไร และปัญหาเหล่านั้นอะไรคือสิ่ง
ที่ควรแก้ไขกันก่อน
ปัญหาการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความขัดแย้งในสังคม ปัญหาความเชื่อมั่น ปัญหาโครงสร้าง ปัญหาคุณภาพคน เป็นต้น
เชื่อว่าการแก้ปัญหาที่ดี และน่าจะเป็นไปได้ที่สุด คือ แก้ไขปัญหาที่ตัวเองสามารถทำได้
การแก้ไขปัญหาที่เริ่มจากภายในประเทศก่อนคือสิ่งที่คนไทยทำได้ ถ้าจะทำ
เช่นเดียวกับการทำงานของรัฐบาล หากจะไม่ให้มีปัญหาก็ได้ แต่พรรคร่วมรัฐบาลต้องร่วมกันแก้ไขปัญหา
แค่ทุกพรรคทุกคนทำตามที่ตัวเองพูด
โดยเฉพาะถ้อยคำที่ว่า “เราทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน”
นฤตย์ เสกธีระ
[email protected]