สถานีคิดเลขที่ 12 : เรโทร ‘การเมือง’ โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพชร

อุ๊งอิ๊ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เกิดไม่ทันคนยุค “ลุง”

จึงไม่ได้อยู่ในบรรยากาศที่เพลง “สุดแผ่นดิน” ซึ่งมีท่อนฮุกสำคัญ คือ “เราถอยไปไม่ได้อีกแล้ว” ถูกเปิดดังสนั่น ปลุกใจให้สู้ภัยคอมมิวนิสต์

เพราะถ้าไม่สู้ ก็อาจ “ตกทะเล”

ด้วยไทยหมิ่นเหม่จะตกเป็น “โดมิโน” ตัวสุดท้าย หลังเวียดนาม กัมพูชา ลาว “แตก” แพ้ฝ่ายคอมมิวนิสต์

บรรยากาศตอนนั้นจึงเคร่งเครียด ขมึงทึง

ADVERTISMENT

เหมือนบรรยากาศตอนนี้ไม่มีผิด

ซึ่งไม่น่าเชื่อจากปี 2518 มาถึงปัจจุบัน ผู้นำไทย ซึ่งมีเหล่าแม่ทัพยืนโชว์อยู่ข้างหลัง ต้องมาแถลง “กัมพูชา” คือภัยความมั่นคงของชาติอีกครั้ง

แน่นอน พูดแบบ “รักชาติ” สถานการณ์นี้ไม่ได้เริ่มต้นมาจากไทย

แต่มาจากเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวของฮุน เซน

กระนั้นด้วยเพราะ การไม่ทันเกม และผิดพลาดของผู้นำรัฐบาลไทย

โดยเฉพาะจาก “คลิปลับ”

ทำให้ “ขีปนาวุธเสียง” ที่ฮุน เซน ยิงจากกัมพูชา พุ่งตรงเข้าทำเนียบรัฐบาลไทยอย่างแม่นยำ ส่งผลสะเทือนไปทั่ว

ในระดับชาติ ทำให้ “เราถอยไปไม่ได้อีกแล้ว” นอกจากประกาศให้กัมพูชาเป็นภัยความมั่นคงของชาติ

เปิด “สงครามเย็น” เข้าใส่กันเต็มรูปแบบ

ตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาว่าสถานการณ์คงไม่เลวร้าย

กลายเป็น “สงครามร้อน” ที่เกิดขึ้นในอีกภูมิภาคหนึ่ง

จนส่งผลให้คำว่า “เพื่อนบ้าน” คำว่า “อาเซียน” ที่เห็นหนึ่งเดียว อาจต้องหัวซุกหัวซุนหลบภัยในหลุมบังเกอร์อย่างหมดสภาพ

นั่นเป็นเรื่องระหว่างประเทศ

ส่วนเรื่อง “ในประเทศ” อีกไม่กี่วัน จะครบรอบ 93 ปี 24 มิถุนายน 2475

ไม่ต้องถามว่า “ประชาธิปไตย” ได้พัฒนาถาวร ในแผ่นดินไทย เพียงใด

เพราะในปัจจุบัน บรรยากาศย้อนยุค หรือ RETRO ไปยังวงจรเดิมๆ

กระแสชาตินิยมที่บางส่วนล้ำๆ ไปถึงขนาด “คลั่งชาติ” พุ่งขึ้นสูง

ซึ่งแน่นอน ปฏิเสธไม่ได้ว่าสืบเนื่องมาจากกรณีไทย-กัมพูชา ที่ฝ่ายการเมืองรับมือได้ไม่ดีพอ

ทำให้กระแสสังคมเทไปยัง “กองทัพ” ที่ดูจะเป็น “หลัก” ให้ได้มากกว่า

ยิ่งไปกว่านั้น คำพูดของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่กระทบไปยังแม่ทัพภาคที่ 2 ที่แม้จะมาแก้ในภายหลังว่าเป็น “แทคติค” ในการเจรจากับ “ลุงฮุน เซน”

แต่ก็เห็นร่องรอย ความไม่ไว้วางใจ ระหว่างฝ่ายการเมืองกับกองทัพ ยังดำรงอยู่ “ลึกๆ”

ทำให้สังคม ซึ่งมีใจให้กับ “กองทัพ” อย่างมากในตอนนี้ เกิดคำถามกับฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ว่ามีจุดยืนทางด้านความมั่นคงอย่างไร

นำไปสู่ “วิกฤตศรัทธา” ต่อฝ่ายการเมืองยิ่งขึ้น

ประกอบกับฝ่ายการเมืองเองก็อ่อนแอ ไร้เสถียรภาพ มีการแย่งยื้ออำนาจและเก้าอี้รัฐมนตรีกันเอง

นำไปสู่ความร้าวฉานในรัฐบาลผสมอย่างที่เราเห็น

และความร้าวฉาน ก็ยังไม่เห็นทางออก นอกจากต่อรองเพื่อประโยชน์ทางการเมืองอย่างเข้มข้น

กลายเป็น วิกฤตซ้อนวิกฤต ที่กระหน่ำซ้ำเติมให้ประเทศย่ำแย่ลงไปอีก

และพอดีกระแสสังคมเทไปยัง “กองทัพ” ว่าเป็นหลักให้กับประเทศได้มากกว่า

ส่งผลให้ พ.ศ.2568 คนไทยยังต้องมานั่งถามกันเอง ว่าจะเกิดภาวะทหารนำการเมืองอีกหรือไม่

และบางส่วนอาจไปไกลถึงขนาด กวักมือเรียกหา “อัศวินม้าเขียว” อีกครั้ง

ทั้งที่มีบทเรียนมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง นอกระบบ ทำประเทศ “ย้อนยุค” มากกว่า “ล้ำยุค”

แต่ดูเหมือนความรู้สึก “ย้อนยุค” เช่นนี้ ไม่เคยจางหายไปจากประเทศนี้เสียด้วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง