สถานีคิดเลขที่ 12 : ณ ทุ่งสังหาร-พลาดไม่ได้

“ทุ่งสังหาร” การฆ่าหมู่คนกัมพูชา โดย “เขมรแดง” ที่กลายเป็นหนังคลาสสิกของโลก The Killing Fields 

แม้จะเป็น “ประวัติศาสตร์บาดแผลฉกรรจ์” ที่ไม่อยากจำของคนกัมพูชา 

แต่สำหรับ “ฮุน เซน”แล้ว “ทุ่งสังหาร” มิได้เป็นประวัติศาสตร์ “ด้านลบ” เท่านั้น

หากแต่มี “มุมบวก” สำหรับเขาด้วย

ว่ากันว่า นอกจาก เรื่อง “ชาตินิยม” โดยเฉพาะเรื่องเขตแดน (ที่มีปัญหากับ เวียดนาม-ลาว-ไทย) แล้ว

ADVERTISMENT

“ปฏิบัติการโหดของเขมรแดง” ก็เป็นไม้เด็ดสำคัญ ที่ฮุน เซน ใช้เรียกคะแนนจากคนเขมรมาโดยตลอด

เขาขับเน้นความโหดร้ายของระบอบเขมรแดง 

และพึ่งพิงกองทัพเวียดนาม เข้ามาช่วยปลดแอกระบอบเขมรแดงออกไปจากประเทศ พร้อมกับก้าวขึ้นมาครองอำนาจในประเทศนี้มาถึงปัจจุบัน

เขาเอาจริงเอาจังในการลากคอ ผู้นำเขมรแดง พลพต เขียวสัมพันธ์ และอื่นๆ ขึ้นศาลอาชญากรรม

ซึ่งสามารถเรียกคะแนนนิยมให้ฮุน เซนตลอดมา

ดังนั้นเมื่อพูดถึงเรื่อง “ทุ่งสังหาร” สำหรับฮุน เซนแล้วคือ เครื่องมือทางการเมืองอัน “วิเศษ” สำหรับเขา

ในวันนี้ “ทุ่งสังหาร” ถูกหลายๆ คนคิดถึง 

เป็นการคิดถึง ที่มิได้หมายถึง The Killing Fields ตรงๆ

หากแต่คิดถึง ทุ่งสังหาร ในเชิงเปรียบเปรย

เปรียบเปรย ถึงทุ่งสังหาร “ทางการเมือง” ที่ฮุน เซน กำลังใช้ “เขี้ยวลากดิน” ขบดึงเอาตระกูล “ชินวัตร” เข้าไปใน “ทุ่งสังหาร” อย่างโหดเหี้ยม

หลานแพทองธาร ชินวัตร ในวันนี้ ต้องเดินเข้าไปใน “ทุ่งสังหารทางการเมือง” จากกรณี “คลิปเสียง”

ส่วน สหายรักทักษิณ ชินวัตร กำลังเผชิญชุด “ข้อมูล” ที่ฮุน เซนหยิบมาแบล๊กเมล์ อย่างไม่คำนึงถึง “สัมพันธภาพ” ที่เคยมีต่อกัน

ทำให้คนในตระกูล “ชินวัตร” ตกอยู่ในวิบากกรรม อย่างน่าห่วงใย

ซึ่งน่าติดตามว่าจะฟันฝ่า ให้ผ่านทุ่งสังหารทางการเมืองนี้ไปได้อย่างไร

เพื่อที่จะไม่ให้เกิดสภาพอย่างที่ฮุน เซนตอกลิ่มเอาไว้ว่านายกฯไทยจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงภายใน 3 เดือน

แน่นอน เป็นภาวะอันสาหัสสากรรจ์ที่คนในครอบครัว “ชินวัตร” ต้องเผชิญ และต้องใช้พละกำลังมหาศาลในการฟันฝ่า

ฟันฝ่าทั้ง การปรับคณะรัฐมนตรี ที่ต้องทำให้เห็นว่านี่มิใช่เป็นเพียงการแบ่งปัน “ชามข้าว” ในหมู่นักการเมือง

หากแต่เป็นการปรับคณะรัฐมนตรี เพื่อประสิทธิภาพจริงๆ 

โดยเฉพาะ กระทรวงมหาดไทย ที่เพื่อไทย “ลงทุนทางการเมืองมหาศาล” เพื่อให้ได้มาบริหาร จะต้องมีผลงานที่จับต้องได้ จริงๆ 

รวมถึง กระทรวงกลาโหม ที่มีกระแสข่าว “เว้นวรรค” ไว้ เพื่อกลับไปพึ่ง “คนในกองทัพ” ใน 3 เดือนข้างหน้านั้น จะ “บริหารอำนาจ” อย่างได้สัดส่วน สมดุล และควรอยู่ในเส้นทาง การเมืองนำการทหารอย่างไร

เพื่อมิให้ สถานการณ์อันตึงเครียด ระหว่างไทย-กัมพูชาขาดผึ่ง จนนำไปสู่ สิ่งเลวร้ายสุดๆ คือ “สงคราม” 

สงครามที่จะไม่มีใครชนะ มีแต่จะลากดึงให้ประเทศและคนไทยไปอยู่ “ปรักตม” อันเน่าเหม็น

และสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่จะนำพาการเมืองไปสู่ภาวะ “นอกระบบ” ซึ่งตอนนี้ก็มีเงื่อนไขต่างๆ มากมายที่ทำให้เกิด

โดยเฉพาะ “มวลชน” นอกสภา ที่มีจุดยืนตรงข้ามตระกูลชินวัตร หากจุดติดขึ้นมา ก็ยังไม่รู้ว่าจะถูกลากดึงไปถึงจุดใด

นอกจากนี้ “นิติสงคราม” ที่ขับเคลื่อนคู่ขนานไปกับ “สงครามการเมืองและสงครามชายแดน” นั้น ก็พร้อมจะมีฤทธิ์เดชที่ส่งผลลบต่อรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย

จน น.ส.แพทองธารต้องควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อมีที่ทางใน ครม. หากต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ขาดวันที่ 1 กรกฎาคมนี้

“ทุ่งสังหารทางการเมือง” ที่ น.ส.แพทองธารเผชิญและต้องนำพารัฐบาลลุยฝ่าไปนั้น 

จึงอันตราย และน่าสะพรึงกลัว

พลาดไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว

สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร