ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
---|
วันที่ 1 กรกฎาคม เมื่อปี 2518 ประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้เปิดสัมพันธ์ทางการทูตกันขึ้น
จากวันนั้นถึงวันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนก็มาครบ 50 ปี
ปีนี้หน่วยงานต่างๆ ได้จัดเฉลิมฉลองวันครบรอบความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศมากมาย เพื่อตอกย้ำความสัมพันธ์อันดีที่มีมา และต้องการจะสานต่อความสัมพันธ์นี้ต่อไป
เครือมติชนเองก็มีกิจกรรมร่วมเฉลิมฉลองการครบรอบความสัมพันธ์ไทย-จีน 50 ปีเช่นกัน โดยวันที่ 1 กรกฎาคมนี้มีฉบับพิเศษหนา 40 หน้า เพื่อร่วมเฉลิมฉลอง
วันที่ 11-13 กรกฎาคม มีสัมมนาแง่มุมต่างๆ เกี่ยวกับไทยและเกี่ยวกับจีนที่ ทรู ดิจิทัล พาร์ค และในบริเวณเดียวกัน วันที่ 12 และ 13 กรกฎาคม เครือมติชนยังจัดเวิร์กช็อปการทำธุรกิจกับจีน
วันที่ 22 กรกฎาคม ปิดท้ายกิจกรรมของเครือมติชน ได้จัดดินเนอร์ทอล์ก เชิญตัวแทนจากสถานทูตจีนมาปาฐกถาพิเศษ เชิญ นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี และ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือซีพี มาขึ้นเวที บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ไทย-จีนในมิติต่างๆ
สำหรับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ดูเหมือนว่าจะมีพัฒนาการอย่างมาก ตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา จีนสามารถทะยานขึ้นสู่ประเทศมหาอำนาจของโลก
ไม่เพียงแต่เป็นมหาอำนาจทางการทหาร แต่ที่น่าสนใจคือเป็นมหาอำนาจทางด้านเศรษฐกิจด้วย
ย้อนกลับไปดูประเทศจีนนับตั้งแต่ ค.ศ.1949 ที่พรรคคอมมิวนิสต์ครองประเทศ มาจนถึงปัจจุบัน ทุกจังหวะก้าวของความสำเร็จได้ผ่านอุปสรรคและความล้มเหลวมาแล้ว
ประสบการณ์และอุปสรรคทำให้ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนมีผู้นำที่แข็งแกร่งอย่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว สามารถนำรายได้ที่มีมากขึ้น ไปพัฒนาเมืองต่างๆ จนมีจุดขายเป็นของตัวเอง
ปักกิ่งเป็นเมืองหลวง ขณะที่เซินเจิ้นเมืองเทคโนโลยี เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองการเงิน กว่างโจวเป็นเมืองการค้า มีโครงสร้างด้านการคมนาคมที่แข็งแกร่ง มีรถไฟฟ้าความเร็วสูงผุดขึ้นทั่วประเทศ มีการพัฒนาการด้านเทคโนโลยี สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ
เปรียบเทียบกับไทย ซึ่งแรกๆ ดูเหมือนว่าจะมีพัฒนาการด้านต่างๆ เช่นกัน ไทยเคยเป็นพี่ใหญ่ในอาเซียน เป็นประเทศระดับแกนนำในภูมิภาค เป็นผู้ริเริ่มอะไรต่างๆ นานาให้กับประเทศในภูมิภาคแถบนี้ เคยมีบารมีถึงกับสามารถเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า
ไทยเคยมีเศรษฐกิจและการเติบโตอย่างมีความหวังเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเชีย และมีความเป็นเลิศในอีกหลายด้าน
แต่ดูเหมือนว่าไทยในวันนี้จะไม่เหมือนไทยในวันก่อน
ย้อนกลับไปที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน พลิกไปดูจังหวะก้าวของเขา พบว่าความยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นได้ เป็นเพราะมีแผนงานที่ชัดเจน จวบจนถึงขณะนี้ จีนมีแผน 100 ปี คือปี ค.ศ.2049 ซึ่งจะครบ 100 ปีการก่อตั้งจีนขึ้นมา เขาวางเป้าหมายการพัฒนาเอาไว้แล้ว
จีนมีผู้นำที่ถูกเคี่ยวกรำมาจากงานระดับต่างๆ ต้องแสดงฝีไม้ลายมือจนเป็นที่ประจักษ์ก่อนจะก้าวขึ้นมาได้
และจีนก็ได้ทำให้ทั่วโลกเชื่อมั่นในแผนพัฒนาของเขา เพราะสามารถทำสำเร็จเป็นที่ประจักษ์
ดังนั้น ประเทศไทย ถ้าอยากจะผงาดขึ้นมาอีกครั้งและได้รับการยอมรับจากโลก การร่วมมือร่วมใจกันภายในประเทศเพื่อผลักดันให้ประเทศพัฒนาเป็นที่ประจักษ์ ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ
เชื่อว่าปัจจัยต่างๆ ที่จะเอื้อให้ประเทศไทยฝ่าวิกฤตไปได้นั้น ทุกฝ่ายคงเห็นเหมือนๆ กัน
เพียงแต่ทุกวันนี้ประเทศไทยยังติดกับดักตัวเอง
ติดอยู่ในกับดักนี้มาตั้งแต่ปี 2549 จวบจนบัดนี้ก็ยังดิ้นไม่หลุดจากกับดักนี้
นฤตย์ เสกธีระ
[email protected]