คอลัมน์ นอกลู่ในทาง : บทเรียนองค์กรดิจิทัล

องค์กรธุรกิจทั่วโลกกำลังเผชิญความท้าทายใหม่จากพัฒนาการของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคไปตลอดกาล การใช้จังหวะของ Digital Disruption ให้เป็นโอกาสทางธุรกิจเป็นสิ่งที่ “ผู้นำ” องค์กรชั้นนำกำลังตื่นตัวอย่างยิ่ง

ในงาน Digital Transformation Forum 2019 จัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ซึ่งจัดขึ้นปีนี้เป็นปีแรกในหัวข้อ “Surfing the Waves in Digital Transformation Era” ได้เชิญกูรูและผู้นำองค์กรดิจิทัลมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อสร้างการตื่นตัวให้องค์กรต่างๆ ปรับเปลี่ยน และนำองค์ความรู้ไปใช้พัฒนาต่อยอดขับเคลื่อนธุรกิจ

“แบรดลีย์ เครท” ผู้อำนวยการฝ่าย Future 50 Reserach สถาบันแห่งอนาคต (IFTF) จากซิลิกอน วัลเลย์ พูดถึงการมองอนาคตของเทคโนโลยี (Digital Foresight) เพื่อนำมาวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจว่า ไม่ได้หมายถึงการนำ “เทคโนโลยีมาใช้เท่านั้น แต่รวมถึงกระบวนการ ตั้งแต่การวางแผนกลยุทธ์ วิสัยทัศน์ และการบริหารจัดการภายในองค์กร”

และว่า “เรากำลังก้าวไปสู่ยุคของ Internet of Action จากปัจจุบันที่กำลังอยู่ในยุคแห่งการหาข้อมูล หรือบริการทางด้านข้อมูล ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากขึ้น ทำให้มนุษย์นำสิ่งเหล่านั้นมาทำให้เกิดการกระทำ”

Advertisement

เช่น มีรถขับเคลื่อนอัตโนมัติที่เคลื่อนตัวได้จากการกดปุ่มเล็กๆ ปุ่มเดียวหรือยักษ์อีคอมเมิร์ซ “Amazon” ที่ผลิตอุปกรณ์ที่ให้ผู้ใช้งานกดปุ่มสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ หรือทำธุรกรรมการเงินออนไลน์ได้เพียงแค่ปุ่มเดียว

“เทคโนโลยีในอนาคตนำความซ้ำซ้อนต่างๆ ให้สามารถสั่งการได้เพียงปุ่มเดียวครั้งเดียว ซึ่งต่อไปเราจะได้เห็นอุปกรณ์ที่อัจฉริยะมากขึ้น และสามารถคิด และตัดสินใจได้เอง เพียงอาศัยข้อมูลผู้ใช้งานมาวิเคราะห์โดยไม่มีใครสั่งการ”

ในสหรัฐอเมริกา มีแอพพลิเคชั่น ชื่อ “Trim” ใช้เทคโนโลยี AI ดูแลการต่อสัญญากับผู้ให้บริการเคเบิลได้เอง โดยเจ้าของไม่ต้องเสียเวลาโทรไปต่อสัญญา เพราะแอพพลิเคชั่นตัดสินใจแทนผู้ใช้จากการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งาน

Advertisement

ดังนั้น สิ่งที่องค์กรต่างๆ ต้องทำ คือ มองหา “คุณค่า” ให้เจอเพื่อให้เทคโนโลยีเข้าไปตอบโจทย์ธุรกิจ ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนการรับรู้ของมนุษย์ โดยใช้เทคโนโลยีทำให้มนุษย์มีปฏิกิริยา (Action) กับโลกที่เปลี่ยนไป เช่น แว่นตา AR ที่ทำให้สภาพความเป็นจริงเปลี่ยนด้วยการใช้ “โฮโลแกรม” สร้างแคมเปญทางการตลาด หรือการนำเทคโนโลยีเสมือนจริงให้คนมองเห็นร่างอวตารของตนเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ชีวิตของตัวเองดีขึ้น การนำนวัตกรรมมาสร้างคุณค่าให้ชีวิตผู้บริโภค เช่น HapiFork ผลิตช้อนสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมอาหาร โดยช้อนจะสั่นเมื่อผู้ใช้กำลังรับประทานอาหารเร็วเกินไป หรือ Lift ware ช้อนสำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน เป็นการนำนวัตกรรมที่แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิตได้

นอกจากนี้ยังรวมถึงการเข้าถึงรหัสพฤติกรรมมนุษย์ โดยนำข้อมูลพฤติกรรมผู้ใช้งานในการประมวลผลความต้องการในอนาคต โดยไม่ต้องป้อนคำสั่ง เช่น Glow cap ขวดยาที่ตรวจวัดดัชนีสุขภาพได้เตือนเวลารับประทานยา และเก็บข้อมูลสุขภาพได้

“JustCo” สตาร์ตอัพสัญชาติสิงคโปร์ ผู้ให้บริการ Co-Working Space รายใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอีกตัวอย่างขององค์กรที่ประสบความสำเร็จจากการนำเทคโนโลยีมาใช้สร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ

“กง วาน ลอง” ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด “JustCo” เล่าว่า สิ่งที่เป็นกุญแจไขไปสู่ความสำเร็จของบริษัท คือ การเก็บข้อมูลลูกค้าที่ทำมาต่อเนื่อง จากจุดเริ่มต้นธุรกิจให้บริการเช่าพื้นที่ในปี 2011 มาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในปี 2015 เมื่อเริ่มมองเห็นความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีที่จะเข้ามาสร้างการเติบโตให้ธุรกิจได้

“หลังมองเห็นรูปแบบการทำงานของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไปเราจึงเริ่มลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมลูกค้ามากขึ้น โดยตั้งเป้าไปที่กลุ่มลูกค้าที่มีอาชีพด้านดิจิทัล ทำให้กลับมาเปลี่ยน Lay Out พื้นที่ให้เช่าใหม่ เป็น Smart Space และเร่งสร้างแม่เหล็กต่างๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้กลับมาใช้ซ้ำ”

ไม่ว่าจะเป็นการสร้างระบบนิเวศดิจิทัล และการออกแอพพลิเคชั่น Justco เพิ่มความสะดวกให้ลูกค้า มีฟังก์ชั่นจองห้องประชุมล่วงหน้า, เช็ก Hot Desk ที่ใช้งานได้, เข้าถึงอีเวนต์ที่กลุ่มเป้าหมายสนใจ และเปิดดูข้อมูลลูกค้าคนอื่นๆ ได้ว่ามีใครบ้างเพื่อสร้างเครือข่ายชุมชนดิจิทัล

ปัจจุบัน JustCo เปิดให้บริการ Co-Working Space ในกว่า 40 แห่งทั่วโลก

ผู้บริหาร JustCo กล่าวว่า “หากถามว่า เราใช้เทคโนโลยีแบบไหนหรือแนะนำเทคโนโลยีแบบใดเพื่อช่วยพัฒนาบริษัท คงไม่สามารถบอกหรือลงรายละเอียดชัดๆ ได้ เพราะขึ้นอยู่กับโมเดลธุรกิจของแต่ละบริษัท แต่สิ่งเดียวที่พอจะแนะนำได้คือ การพัฒนาที่ดีไม่ใช่การนำเทคโนโลยีอย่างใดอย่างหนึ่งมาปรับใช้ในบริษัท แต่ต้องใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่หลากหลาย และเหมาะกับบิซิเนสโมเดลของแต่ละบริษัทด้วย”

แล้วองค์กรจะมีวิธีเลือกใช้ และเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงไปสู่ “ดิจิทัล” อย่างไร

“ดร.ฤตวีร์ มาตังคะ” Project Leader, The Boston Consulting Group กล่าวถึงเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง และกำลังจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคตว่า มี 4 เทคโนโลยี คือ ปัญญาประดิษฐ์ หรือAI, บล็อกเชน, อินเตอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ (IoT) และ Augmented/Virtual Reality (AR/VR) แต่สิ่งสำคัญกว่าอยู่ที่การมี

วิสัยทัศน์ของผู้นำองค์กรในการวางทิศทางของบริษัทที่จะเดินไปในอีก 3-5 ปีข้างหน้า โดยมองตำแหน่งทางดิจิทัลขององค์กรว่าจะอยู่ในจุดไหน เพื่อที่จะได้รู้ว่าจะนำเทคโนโลยีดิจิทัลอะไรมาสนับสนุนธุรกิจได้

หัวใจสำคัญที่ทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ คือ การใช้ “คุณค่า” เป็นตัวนำการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ “เทคโนโลยี”

โดยต้องเข้าใจธุรกิจหลักของตนว่าคืออะไร หาปัญหาที่แท้จริงเพื่อแสวงหาเทคโนโลยีที่จะเข้ามาตอบโจทย์ ทั้งในแง่การเป็นช่องทางธุรกิจใหม่, การพัฒนากระบวนการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และการผสมผสานเทคโนโลยีที่หลากหลายให้เกิดประโยชน์สูงสุด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image