คอลัมน์ เล่าเรื่องหนัง : ปิดฉากซีรีส์เรือธง ค่าย HBO ‘Game of Thrones’ ศึกแย่งบังลังก์จบลง แต่ศึก ‘สตรีมมิ่ง’ เพิ่งเริ่ม

เอ่ยชื่อซีรีส์เรื่องดัง “Game of Thrones” เป็นซีรีส์ชื่อคุ้นหู แม้สำหรับผู้ที่ไม่เคยดูเลยก็ตาม แต่ย่อมได้ยินจากเพื่อนฝูง คนรู้จัก หรือแม้แต่ในข่าวสารระดับโลก ผู้นำการเมืองสำคัญอย่าง “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีจีนก็ยกเนื้อหาจากซีรีส์เรื่องดังนี้ มาพูดต่อหน้าบรรดาแขกต่างประเทศในการประชุมระดับนานาชาติที่กรุงปักกิ่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

ด้วยเรื่องราวของ “Game of Thrones” ที่แม้จะเป็นไซไฟ-แฟนตาซี แต่แก่นหลักที่พูดถึง “อำนาจ” และการ “แย่งชิงอำนาจ” ที่นำมาสู่สงครามใน 7 อาณาจักร การดำเนินเรื่องตลอด 8 ซีซั่น ที่มีสถานการณ์การเมืองระหว่างอาณาจักร ระหว่างกลุ่มคน และระหว่างบุคคลอันสุดล่อแหลมในทุกมิติ

ตัวซีรีส์พัฒนามาจากนิยายแฟนตาซีชุด “A Song of Ice and Fire” เขียนโดย “จอร์จ อาร์.อาร์. มาร์ติน” ซึ่งปัจจุบันตัวนิยายยังอยู่ระหว่างเขียนภาคต่อ แต่ในส่วนซีรีส์นั้นอวสานเรียบร้อย

จุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของเรื่องนี้คือ “ตัวละคร” ทั้งตัวละครหลัก ตัวละครรอง เป็นได้ทั้งคนดีและคนเลว สถานการณ์ที่บางครั้งแม้แต่ตัวละครที่ดีก็ยังเลือกที่จะทำสิ่งเลวร้ายเพื่อรักษาชีวิตตัวเองและพวกพ้อง และที่เป็นจุดสำคัญคือ เนื้อเรื่องที่มักจะฆ่าตัวละครที่คนดูผูกพันหรือคาดไม่ถึงได้เลือดเย็นสารพัดแบบ

Advertisement

Game of Thrones จึงเป็นซีรีส์ที่ถูกนำไปพูดถึงในแง่การเมือง การบริหาร และภาวะผู้นำได้หลายมิติอีกด้วย

ขณะที่ในภาพกว้างซีรีส์เรื่องนี้ ถูกยกให้เป็น “บิ๊กฮิต” ของค่ายเอชบีโอ (HBO) เพราะ Game of Thrones ได้สร้างสถิติตัวเลขคนดูที่สูงมาก

ความน่าตื่นตาตื่นใจทางสถิติต่างๆ ของ Game of Thrones มีตั้งแต่การค่อยๆ สะสมความนิยมตั้งแต่การออกฉายตอนแรกเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2554 และเพิ่มฐานคนดูจนถึงบทสรุปสุดท้ายเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2562

แม้บรรดาคนดูจำนวนหนึ่งจะวิจารณ์เนื้อหาในบางซีซั่นแผ่วลง แม้แต่ซีซั่นสุดท้ายที่ถูกวิจารณ์ลบมากที่สุด แต่ไม่ว่าจะลงเอยจบอย่างไร นี่ก็เป็น “ความรักขมๆ” ของแฟนซีรีส์เรื่องนี้ที่ยังแนะนำให้ใครที่ไม่เคยดูต้องลองดูสักครั้งในชีวิต

และนี่คือคำตอบของซีรีส์ที่มีตัวเลขการรับชมที่สูงต่อเนื่องเป็นประวัติการณ์ของค่ายเอชบีโอ

โดยตอนแรก หรือเอพพิโซดแรกของซีซั่น 8 นี้ เปิดตัวที่จำนวนคนดูสดพร้อมกันผ่านทุกแพลตฟอร์มของเอชบีโอทั้งระบบเคเบิลและสตรีมมิ่ง คือ HBO Go และ HBO Now รวมที่ 17.4 ล้านการรับชม ขณะที่ตอนจบหรือบทอวสานคนดูที่กว่า 19 ล้านการรับชม ซึ่งเป็นสถิติสูงที่สุดของเอชบีโอ และยอดคนดูก็ยังสูงกว่าซีซั่น 7 ทั้งซีซั่น

และอันที่จริงหากเทียบกับฐานคนดูทั่วโลก รวมการรับชม “สตรีมมิ่ง” แบบถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย Game of Thrones เป็นหนึ่งในซีรีส์ที่คนดูมากที่สุดเรื่องหนึ่งในโลก ซึ่งข้อมูลจาก “Muso” บริษัทวิเคราะห์การละเมิดลิขสิทธิ์ทางดิจิทัลเผยรายงานว่า ในการออกฉายตอนแรกของซีซั่น 8 มีการลักลอบดูแบบ “ละเมิดลิขสิทธิ์” หรือดู “สตรีมมิ่งเถื่อน” มากถึง 54 ล้านครั้งทั่วโลกภายใน 24 ชั่วโมงแรกที่ซีรีส์ออกฉาย นี่ยังไม่นับรวมถึงการดูผ่านสตรีมมิ่งทั้งแบบถูกกฎหมายและแบบเถื่อน หลังจากผ่านเวลาช่วงนั้นอีกมากมาย

ตัวเลขเหล่านี้เป็นตัวชี้วัดความนิยมแพร่หลายวงกว้างมาก

ขณะเดียวกันยังต่อยอดสร้างโอกาสทางธุรกิจให้เอชบีโอที่รับรายได้เป็นกอบเป็นกำในฐานะ “เจ้าของลิขสิทธิ์” จากบรรดาแบรนด์สินค้าที่เข้ามาเกาะกระแส Game of Thrones ในการผลิตไลน์สินค้าลิมิเต็ดจากซีรีส์ ทั้งแบรนด์แฟชั่นกระเป๋า แอ๊กเซสซารี แบรนด์สุรา เบียร์ ไวน์ รองเท้ากีฬา เครื่องสำอาง เป็นต้น

ขณะที่ต้นทุนค่าใช้จ่ายโปรดักชั่นการถ่ายทำ Game of Thrones ต่อตอนเฉลี่ยอยู่ที่ 10 ล้านเหรียญสหรัฐ ค่าตัวนักแสดงนำหลัก 5 คน ได้รับตอนละ 1.2 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่รายได้ที่กลับมามหาศาลกว่านั้นมาก

นี่จึงเป็นซีรีส์ที่ทำให้ “เอชบีโอ” ได้ทั้งเงินทั้งกล่องในช่วงหลายปีมานี้ และยังเป็นตัวช่วยทำรายได้จากการแข่งขันในตลาด “สตรีมมิ่ง” ที่กำลังเป็นที่นิยมทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันในสหรัฐมีบริษัทบันเทิงผู้ผลิตคอนเทนต์ทางอินเตอร์เน็ต หรือ “สตรีมมิ่ง” แข่งกันเจ้าหลักๆ อาทิ “Netflix”, “Hulu”, “Amazon Prime” และน้องใหม่ล่าสุด “Disney+” จากค่ายดิสนีย์ที่โดดลงมาเล่นในตลาดสตรีมมิ่งด้วยกัน โดยเปิดโปรโมชั่นแย่งชิงฐานคนดูสมาชิกที่จะยอมเสียค่าบริการรายเดือนจากเจ้าตลาดเดิม ซึ่ง “เน็ตฟลิกซ์” ถูกมองว่าเป็นผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุดในเกมนี้

แน่นอนว่าหลังจาก Game of Thrones จบลงไปแล้ว เอชบีโอย่อมต้องหาซีรีส์เรื่องใหม่ที่จะมานำทัพสร้างความสำเร็จต่อเนื่องให้ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการแข่งขัน “ผลิตคอนเทนต์” หรือสร้าง “Original Content” ก็เป็นกลยุทธ์เดียวกับสตรีมมิ่งเจ้าอื่นด้วยเช่นกัน

“เน็ตฟลิกซ์” นั้น ทุ่มงบประมาณหลายพันล้านเหรียญสหรัฐในการผลิตซีรีส์ ภาพยนตร์ และสารคดีที่เป็น Original Content ออกมาเป็นจำนวนมาก โดยหลังโมเดลความสำเร็จของซีรีส์ที่แจ้งเกิดให้เน็ตฟลิกซ์อย่าง “House of Cards” เน็ตฟลิกซ์ยังมีซีรีส์ที่กุมฐานคนดูไว้ได้อย่าง “Orange is The New Black”, “Black Mirror” และล่าสุด “Stranger Things” ขณะที่ค่าย “ฮูลู” มี “The Handmaid”s Tale”

ภาพจาก HBO

ในส่วนของ “เอชบีโอ” นักวิเคราะห์มองว่า หลายปีมานี้ “Game of Thrones” เป็น “ซีรีส์เรือธง” ที่ตรึงคนดูให้ยอมเสียค่าบริการรายเดือนให้แก่เอชบีโอ ซึ่งเติบโตจากธุรกิจให้บริการชมความบันเทิงทั้งภาพยนตร์ ซีรีส์ สารคดี ผ่านระบบเคเบิลมาจนถึงการแตกไลน์ให้บริการแบบสตรีมมิ่ง จึงเป็นคำถามว่าหลัง Game of Thrones จบลง ตัวเลขรายได้จากฐานสมาชิกที่จ่ายค่าบริการดูแบบสตรีมมิ่งของเอชบีโอจะลดลงหรือไม่

นี่ยังเป็นเรื่องที่คาดการณ์

แต่ความสำเร็จของ “Game of Thrones” ทำให้บรรดาผู้สร้างซีรีส์อื่นๆ ต้องหาทางว่าจะมีเรื่องไหนที่จะเป็น “ความสำเร็จครั้งใหม่” ขึ้นมาได้อีก ในยุคของ “สงครามสตรีมมิ่ง” ที่สนามนี้ยังสู้กันอีกยาว แต่ประโยชน์นั้นตกที่คนดูได้ชมคอนเทนต์ที่แข่งกันพัฒนานั่นเอง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image