ที่มา | อาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | นฤตย์ เสกธีระ [email protected] |
เผยแพร่ |
หลายคนคงผิดหวังกับคำว่า “ปฏิรูป” เพราะ 5 ปีในห้วงเวลาที่เรียกร้องกลับมีแค่ความพยายาม
เคยเรียกร้องให้ปฏิรูปการเมืองในที่สุดผลที่ออกมาก็ไม่ใช่
อยากให้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม แค่ปฏิรูปตำรวจก็ทำไม่สำเร็จ
นี่ยังมีข้อเรียกร้องอื่นๆ ทั้งปฏิรูปเศรษฐกิจ ปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปสังคม
5 ปีที่ผ่านมายังถามหาถึงรูปธรรม
เรียกได้ว่าหมดหวังไปตามๆ กัน
แต่วันก่อนมีโอกาสได้พูดคุยกับประธานคณะกรรมการอัยการคนใหม่
นั่นคือ นายอรรถพล ใหญ่สว่าง
ฟังแล้วพอมองเห็นความหวังหากไทยยังต้องการปฏิรูป
มองเห็นว่าความพยายามจะปฏิรูปคนอื่นนั้น ความสำเร็จยังห่างไกล
แต่หากจะปฏิรูปตัวเองโอกาสที่จะพัฒนาก็พอมองเห็น
นายอรรถพลเปิดแนวทางการพัฒนาองค์กรอัยการหลายอย่างผ่านการสัมภาษณ์พิเศษ
เริ่มปักธงเป้าหมายของอัยการว่า ต้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง
จากนั้นจำแนกภารกิจออกเป็น 3 ประการใหญ่ๆ
หนึ่ง อำนวยความยุติธรรม หมายถึง ดำเนินคดีอาญาทั่วโลกทำเหมือนกันหมด
สอง รักษาผลประโยชน์ของรัฐ ข้อนี้ไม่ใช่อัยการจะทำหน้าที่เข้าข้างรัฐอย่างเดียว แต่ต้องไปดูที่ภารกิจ
สาม ช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน
เพราะเมื่อปักธงไปที่ประชาชนเป็นหลัก การรักษาผลประโยชน์ของรัฐก็ต้องคำนึงถึงประชาชนด้วย
ส่วนผลประโยชน์ของรัฐที่ต้องรักษา คือผลประโยชน์ของแผ่นดิน
ขณะที่การปฏิบัติหน้าที่ของอัยการก็จะมีการปฏิรูป
จากเดิมที่ว่าความคนเดียว แบบหัวเดียวกระเทียมลีบ
ต่อไปจะเติมอัยการเข้าไปเป็นคณะแล้วช่วยกันว่าความ
เพราะหลายคดีที่เป็นคดีใหญ่ ฝ่ายจำเลยมีทีมทนายความมาก จึงไม่ควรปล่อยให้อัยการ 1 คนไปยืนสู้โดยลำพัง
ดังนั้น ต่อไปในการว่าความ อัยการคนหนึ่งทำหน้าที่อยู่หน้าบัลลังก์จะ “ว่าความด้วยปาก”
ส่วนทีมอัยการที่ไปด้วยจะคอยแนะนำด้วยการเขียนบอกประเด็น
เรียกว่า “ว่าความด้วยมือ”
ด้วยการอำนวยความยุติธรรม มีแนวทางเร่งรัดสะสางคดี
ความยุติธรรมต้องเกิดขึ้นด้วยความรวดเร็วไม่ใช่ล่าช้า
ต่อไปอัยการจะปรับปรุงโครงสร้างบริการงานบุคคล กรณีชี้ขาดความเห็นแย้ง จะดึงรองอัยการสูงสุดมาช่วยเพิ่มขึ้น
แม้สุดท้ายการชี้ขาดจะอยู่ที่อัยการสูงสุด แต่เมื่อคดีผ่านการกลั่นกรองมาจากรองอัยการสูงสุด
เวลาอัยการสูงสุดพิจารณาย่อมจะเร็วขึ้น
นี่ก็เป็นไอเดียการทำงานเป็นทีม
ยังมีข้อเสนอปรับปรุงเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการพิจารณาของอัยการ
นั่นคือ จะให้การสั่งคดีของอัยการทำเป็นองค์คณะ 3 คน ประกอบด้วย หัวหน้าองค์คณะ 1 คน และอีก 2 คน อยู่ในองค์คณะนั้น
ทั้งนี้ 1 ใน 2 คนที่เป็นองค์คณะ อาจจะต้องเป็นอัยการอาวุโส คือ เคยผ่านตำเเหน่งบริหารระดับสูงมาแล้ว
และในคดีที่มีอัตราโทษจำคุกไม่ถึง 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 เเสนบาท องค์คณะอัยการ 3 คนควรมีอำนาจสั่งคดีได้โดยไม่ต้องเสนออัยการจังหวัดหรืออัยการพิเศษฝ่ายพิจารณา
วกมาถึงการลงโทษอัยการที่ผิดวินัย หากใครกระทำผิดก็ต้องว่าไปตามนั้น
เพียงแต่สิ่งที่ต้องตอกย้ำให้ขึ้นใจอัยการทุกคน คือ คุณธรรม และจริยธรรม
ทุกการกระทำที่ลงมือทำไป อย่าคิดว่าจะเป็นความลับ
วันหนึ่งสิ่งที่เคยทำก็จะเปิดเผยออกมา เเต่ถ้ามีคุณธรรมและจริยธรรมก็สามารถทำงานได้โดยไม่มีข้อครหา
หากทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมายที่นายอรรถพลวางไว้ องค์กรอัยการย่อมมีพัฒนาการ
การยึดเป้าหมายประชาชนเป็นศูนย์กลางอาจจะเป็นเป้าหมายที่ทุกยุคสมัยต้องกระทำ
แต่การดำเนินการเพื่อผลักดันให้บรรลุเป้าหมายนั้น ขึ้นอยู่กับยุคสมัยแต่ละยุคสมัย
กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปการตอบสนองต่อความยุติธรรมดีขึ้น
นั่นก็เท่ากับว่าการปฏิรูปเห็นผลเป็นรูปธรรมแล้ว
การปฏิรูปที่เริ่มต้นจากตัวเองไม่ต้องรอคอยใคร และเชื่อว่าทุกองค์กรสามารถเริ่มต้นปฏิรูปตัวเองได้
ลักษณะคล้ายๆ กับการปรับเปลี่ยนที่ตัวเองก่อน ย่อมดีกว่าไปหวังให้คนอื่นปรับเปลี่ยน
ในห้วงเวลาที่การปฏิรูปที่เคยวาดฝันไว้ยังไม่มีความหวัง
ถ้าหน่วยงานทุกหน่วยงานพร้อมใจกันปฏิรูปตัวเอง
มีเป้าหมาย มีวิธีการบรรลุเป้าหมาย และมีกำหนดเวลาการวัดประเมิน
องค์กรแต่ละแห่งน่าจะได้รับความศรัทธาจากประชาชนมากขึ้น
องค์กรทางการเมือง องค์กรทางธุรกิจ องค์กรทางสังคม
หากแต่ละองค์กรตั้งใจจะปฏิรูปตัวเองเพื่อประชาชน
ประชาชนย่อมได้ประโยชน์ตั้งแต่วันแรกที่องค์กรนั้นๆ ลงมือทำ
และหากองค์กรแต่ละแห่งสามารถปฏิรูปตัวเองได้ก็จะเป็นเยี่ยงอย่างให้คนในองค์กร
ทำให้รู้ว่าการปฏิรูปตัวเองนั้นมีโอกาสสำเร็จมากกว่ารอให้คนอื่นมาปฏิรูป
ถ้าอยากสัมฤทธิผลในการงาน อยากประสบความสำเร็จในชีวิต
อย่ารอใครให้เสียเวลา
เริ่มต้นพัฒนาและปฏิรูปตัวเองในวันนี้ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็รออยู่เบื้องหน้าแล้ว