คอลัมน์ เล่าเรื่องหนัง : การกลับมาของ ‘Downton Abbey’ ซีรีส์คลาสสิก สู่ ‘ภาพยนตร์’

ไม่นานมานี้มีการปล่อยตัวอย่างทางการของภาพยนตร์เรื่อง “Downton Abbey” ออกมาเรียกน้ำย่อยแฟนคลับซีรีส์เรื่องนี้ หลังจากตัวซีรีส์ประสบความสำเร็จระดับโลกนับตั้งแต่ออกอากาศในช่วงปี 2010-2015

ผ่านมา 3 ปี จาก “ละครพีเรียด” ที่ถูกยกให้ขึ้นแท่น “สุดคลาสสิก” กำลังจะกลับมาอีกครั้งในเวอร์ชั่น “ภาพยนตร์” โดยมีกำหนดฉายเดือนกันยายน 2019 นี้

สำหรับใครที่เคยชมซีรีส์เรื่องนี้คงไม่ต้องเอ่ยถึงสรรพคุณกันให้มากความถึงความงดงามและเสน่ห์ แต่สำหรับคนที่ยังไม่เคยชมต้องบอกว่า “Downton Abbey” เป็นซีรีส์ย้อนยุคเรื่องดังจากอังกฤษ ที่เล่าเรื่องราวตั้งแต่ช่วงปี 1912 เป็นต้นมาจนถึงบทสรุปที่ปี 1925 โดยเนื้อเรื่องจะพัฒนาไปตามประวัติศาสตร์จริงของอังกฤษที่หยิบจับทั้งเหตุการณ์ทางการเมือง เช่น สงครามโลกครั้งที่ 1 เหตุโรคไข้หวัดใหญ่ระบาดครั้งร้ายแรง การก่อตัวของกลุ่มเสรีรัฐไอริช ไปจนถึงสิทธิสตรีในการเลือกตั้ง เป็นต้น

ขณะที่อีกหนึ่งคำชมล้นหลาม คือ งานโปรดักชั่นที่สวยหมดจด ทั้งสถานที่ถ่ายทำ เสื้อผ้า เครื่องประดับ ดนตรีประกอบ และการแสดงที่แต่ละคาแร็กเตอร์นั้นลงตัวจนคนดูผูกพัน

Advertisement

โดยห้วงเวลาที่เรื่องราวดำเนินไปตามประวัติศาสตร์จริงนั้น ถูกบอกเล่าผ่านตัวละครหลักใน “ตระกูลครอว์ลีย์” ที่พำนักอยู่ที่ดาวน์ตัน แอบบีย์ “คฤหาสน์ประจำตระกูล” ในชนบทของอังกฤษ มีพ่อ คือท่านเอิร์ลแห่งแกรนแธม ผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์ และภรรยา “คอร่า” ที่โยกย้ายถิ่นมาจากสหรัฐ โดยครอบครัวนี้มีลูกสาว 3 คน คือ เลดี้ แมรี่, เลดี้ อีดิธ และเลดี้ ซีบีล และท่านย่า เคาน์เตสไวโอเล็ต ครอว์ลีย์ โดยบุคคลเหล่านี้ถูกบอกเล่ากล่าวถึงในฐานะ “คนชั้นบน” หรือ “Upstair” ของคฤหาสน์ และกลุ่ม “คนรับใช้” ของคฤหาสน์แห่งนี้ที่แทนถึงกลุ่มที่อยู่ชั้นล่าง หรือ “Downstair” ของคฤหาสน์

การเริ่มต้นเรื่องที่ดูเหมือนจะมี “โลกสองใบ” ในคฤหาสน์ชนบทแห่งนี้ระหว่างชนชั้นเจ้านายและชนชั้นล่าง สอดคล้องกับยุคที่อังกฤษยังเข้มข้นในเรื่องขุนนางและยศถาบรรดาศักดิ์ โดยบรรดาตระกูลขุนนางยังถือสิทธิครอบครองที่ดินจำนวนมากมีความเป็น “เจ้านาย” และ “เจ้าของ” อย่างมาก

Advertisement

ส่วนกลุ่ม “คนรากหญ้า” ทั่วไปยังทำงานทำฟาร์ม เป็นผู้เช่าที่ดินจากเจ้านาย หรือบางส่วนไปทำงานเสมียนเอกชน ขณะที่กลุ่มผู้ทำงานเป็นคนรับใช้ให้ตระกูลเจ้านาย จะเป็นแม่บ้าน คนรับใช้ หัวหน้าพ่อบ้าน หรือต้นห้อง ในยุคนั้นถูกมองว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติ และไม่ใช่ง่ายๆ ที่จะได้รับคัดเลือกเข้าไปทำงานประจำคฤหาสน์ให้ตระกูลชนชั้นสูงได้

หากตัดสินจากปกหน้า “Downton Abbey” เหมือนเป็นการสร้างเรื่องราว “ประโลมโลก” ชวนฝันของสังคมชนชั้นสูง ที่วันๆ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการแต่งตัวเป็นเรื่องใหญ่ประจำวัน ที่ต้องมีการแต่งตัวสำหรับมื้อดินเนอร์ในทุกค่ำคืน ซึ่งก็ต้องมีคนรับใช้คล้าย “ต้นห้อง” ที่ได้รับคัดเลือกแล้ว มาเป็นคนสนิทคอยดูแลเรื่องเสื้อผ้า ทรงผม และออกเดินทางไปต่างถิ่นต่างแดนด้วยกัน หรือธรรมเนียมเจ้านายที่บุตรสาวจะไม่สามารถสืบทอดทรัพย์สมบัติของตระกูลได้ จะต้องแต่งงานและให้ลูกเขยมาทำหน้าที่สืบทอดมรดกของฝ่ายหญิงแทน เป็นต้น

ขณะที่ฝั่งคนรับใช้ก็มียศถาบรรดาศักดิ์ในกลุ่มของพวกเขาเอง ตั้งแต่หัวหน้าพ่อบ้านหรือบัตเลอร์ ที่เป็นเบอร์หนึ่ง ตามมาด้วยหัวหน้าแม่บ้าน จากนั้นจึงมีลำดับของต้นห้องของเจ้านายระดับต่างๆ ไปจนถึงแม่ครัว และคนรับใช้ทั่วไป ซึ่งในบรรดา “สังคมคนรับใช้” ก็ต้องมีการฝึกฝน ผ่านประสบการณ์เพื่อไต่เต้าสู่ตำแหน่งสำคัญเรื่อยๆ จนได้ทำงานใกล้ชิดเจ้านาย

โครงเรื่องราวกับเป็นละครน้ำเน่า แต่อันที่จริงเนื้อหาที่ผู้สร้างบรรจงใส่ไว้ทุกอณูได้แฝงเร้นการพูด “ความจริง” ในประวัติศาสตร์เวลานั้น และส่องให้เห็นทั้งมิติของกลุ่ม Upstair กับ Downstair โดยเฉลี่ยเรื่องราวอย่างเท่าเทียมเพื่อบอกเล่า “วิถีชีวิต” ของทั้งสองฝั่งที่มีทั้งเรื่องน่ายินดี น่าเศร้า การพลัดพราก และการกลับมา

“Downton Abbey” จึงมีทั้งความสนุกแบบนิยายโรแมนติกของชนชั้นสูง ควบคู่ไปกับการพูดถึงสังคมอังกฤษที่กำลังเปลี่ยนผ่าน และความคิดผู้คนชาวบ้านทั่วไปในยุคนั้นที่เริ่มจะมีที่ทางและมีสิทธิมากขึ้นเรื่อยๆ

ในแง่ความบันเทิงแล้ว เรื่องราวที่ถ่ายทอดออกมา ได้สร้างอรรถรสแด่ “ชนชั้นกลาง” ในปัจจุบันที่เป็นกลุ่มคนดูหลักของซีรีส์เรื่องนี้ เพราะซีรีส์ได้สร้างความ “แฟนตาซี” ให้คนดูที่เกิดมาคนละยุค ได้มองดูบรรดาผู้คนในคฤหาสน์หลังใหญ่ในยุคศตวรรษที่ 20 ทั้งเจ้านาย คนรับใช้ แต่ละชีวิตที่ได้รับผลกระทบต่อเหตุการณ์ใหญ่ๆ ทางประวัติศาสตร์ โดยมีพล็อตเรื่องที่เชื่อมโยงไปมาระหว่างกลุ่มเจ้านายและคนรับใช้ จนถึงบทสรุปของท้ายซีรีส์ที่เมื่อสังคมเปลี่ยนบทบาทการเป็นเจ้านายและคนรับใช้เริ่มพร่าเลือนลงไปเรื่อยๆ

สำหรับการกลับมาเวอร์ชั่นภาพยนตร์ของ “Downton Abbey” ในปี 2019 จะเล่าเรื่องตั้งแต่ช่วงปี 1927-1929 จากตัวอย่างที่ปล่อยมาให้ชมเบื้องต้นคือ คฤหาสน์ดาวน์ตัน แอบบีย์ กำลังกลับมาคึกคักอีกครั้ง เพื่อเตรียมการต้อนรับการเสด็จฯของกษัตริย์และพระราชินีแห่งอังกฤษ พระเจ้าจอร์จที่ 5 และสมเด็จพระราชินีแมรี ซึ่งเวอร์ชั่นภาพยนตร์ยังได้ตัวนักแสดงหลักปรากฏตัวกันครบครัน และมี “จูเลียน เฟลโลว์” ผู้สร้างซีรีส์ชุดนี้มาร่วมทำหน้าที่เขียนบทและโปรดิวซ์

หากถามว่า ทำไมซีรีส์เรื่องนี้จึงประสบความสำเร็จ และกล้าหาญที่จะขึ้นสู่จอเงินที่ไม่อาจแน่ใจได้นัก ว่าการเล่าเรื่องที่กระชับในแบบภาพยนตร์จะรับประกันความสำเร็จเฉกเช่นซีรีส์

คำตอบคือ ด้วยฐานคนดูที่สูงมากทั้งในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ส่วนหนึ่งเพราะ “Downton Abbey” คือเรื่องราวในศตวรรษที่ 20 ที่ทำให้คนดูได้หนีออกไปจากอีกโลกหนึ่ง โดยที่เรื่องราวนั้นวิ่งผ่านเส้นเรื่องประวัติศาสตร์อันน่าจดจำ เราได้เห็นการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย ความคิดที่แตกต่างของชนชั้นสูงกับชนชั้นล่าง การเล่าเรื่องที่มีทั้งสุขนาฏกรรม และโศกนาฏกรรมกวัดแกว่งไปมาของคนทั้งสองชนชั้น คือ ความคลาสสิกที่กำลังจะบอกถึงชีวิตมนุษย์ไม่ว่ายากดีมีจน พวกเขามีเงื่อนไขและสิ่งเลวร้ายที่ต้องเผชิญในบริบทต่างๆ กัน

ผ่านการบรรจงเล่าอย่างงดงาม เปรียบเหมือนกำลังนั่งกินขนมหวานโฮมเมดที่ทั้งอร่อยและอุดมไปด้วยวัตถุดิบคุณภาพ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image