ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
“ทำอย่างไรจะเชื่อมโยงวัฒนธรรมเข้ากับภาคส่วนต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าได้?” ผศ.ยุกติ มุกดาวิจิตร (คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ตั้งคำถามเป็นต้นแบบเพื่อแนะ รมต.วัฒนธรรม เจ้ากระทรวงคนใหม่ (มติชน ฉบับวันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม 2562 หน้า 21)
แล้วชี้ทางบรรเทาทุกข์ว่าควรสร้างวัฒนธรรมเพื่อเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจและภาคส่วนต่างๆ ใน 3 ระดับ ได้แก่ สร้างสรรค์, สร้างชุมชน, สร้างชาติ ดังนี้
1.สร้างสรรค์ โดยผลักดันให้เกิดการทำงานต่างๆ อย่างสร้างสรรค์ไม่จำกัดและให้เสรีภาพการแสดงออกทางความคิด
2.สร้างชุมชน โดยเชื่อมการทำงานสร้างสรรค์เข้ากับชุมชนที่มีหลากหลายวัฒนธรรม ไม่ใช่แค่อนุรักษ์เท่านั้น แต่ต้องให้สิทธิชุมชนในการพิทักษ์ชุมชนและอัตลักษณ์ของตนเอง
3.สร้างชาติ โดยเชื่อมโยงชุมชนต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างมีความเคารพความแตกต่างในสังคม
จะทำอย่างนั้นได้ก็ต้องลด-ละ-เลิก “อีเวนต์อนุรักษนิยม และกีดกันโลกยุคใหม่” (ตามความเห็นแหลมคมของ ผศ.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ แห่งมหาวิทยาลัยรังสิต)
หากทำได้ตามที่ยกมา ก็เท่ากับผลักดันสังคมไทย “รู้เขา รู้เรา รู้เท่าทันโลก” แต่อำนาจอนุรักษนิยมในไทย มองเห็นจำเพาะวัฒนธรรมแบบคนชั้นนำเมื่อศตวรรษที่แล้ว เช่น นาฏศิลป์, ดนตรี, มารยาทกราบไหว้ และทำได้แค่ “อีเวนต์” ฉาบฉวยด้วยหวังผลเฉพาะหน้าแก่ตนเองและคณะเท่านั้น ย่อมมองโลกไม่ไกลเกินกว่าเงาของพวกตน
อีเวนต์กีดกันโลกยุคใหม่
อีเวนต์อนุรักษนิยมของกระทรวงวัฒนธรรม เสมือน “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” เพื่อประโยชน์เฉพาะหน้าของผู้เกี่ยวข้อง เป็นที่กล่าวขวัญรู้กันทั่วไปทั้งในประเทศและนอกประเทศ
กีดกันโลกยุคใหม่ทางวัฒนธรรม ทำให้สังคมไทย “ถอยหลังเข้าคลอง” ที่ตำน้ำพริกละลายไว้ในแม่น้ำจนน้ำเน่าทะลักเข้าคลองเลยเน่าทั้งหมด เท่ากับฉุดสังคมไทยย้อนยุคสุดโต่ง ไม่รู้เขา ไม่รู้เรา ไม่รู้เท่าทันโลก