ลูกไม้หล่นไกลต้น พิชญา รักตพงศ์ไพศาล จากทายาทนักการเมือง สู่สตาร์ตอัพ”ฮิโนกิ”

ลูกสาวอดีตรัฐมนตรี ดีกรีนักเรียนนอก เล่าเรียนด้านจิตวิทยาควบคู่การศึกษา เพื่อปูทางสู่นักบริหารดูแลกิจการครอบครัว ก่อนค้นพบความท้าทายใหม่ ผันตัวเองเข้าสู่แวดวงธุรกิจสตาร์ตอัพ “ไม้ฮิโนกิ” เต็มตัว

กำลังพูดถึง “กิ๊ก-พิชญา รักตพงศ์ไพศาล” ลูกสาวฝาแฝดของ “เฮียเพ้ง-พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล” อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง หลายยุคสมัย มีพี่ชายฝาแฝดคือ “กุ๊ก-พริษฐ์ รักตพงศ์ไพศาล”

จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ด้านจิตวิทยา พร้อมเกรดเฉลี่ย 3.83

ชื่นชอบการชิมและทำอาหารทุกสไตล์ โดยเฉพาะเจแปนิสฟู้ด จนขนานนามตัวเองว่า “Food Fanatic” หรือผู้คลั่งไคล้อาหาร

Advertisement

ทว่าพิชญายังมองกว้างไกล เจาะลึกไปจนถึงอุปกรณ์การทำอาหาร โดยเฉพาะ “เขียง” บนเคาน์เตอร์บาร์ในร้านโอมากาเสะ ก่อนได้รับคำตอบว่าไม้ที่นำมาทำเขียงคือ “ฮิโนกิ” ไม้สนเนื้ออ่อนของญี่ปุ่น

จากความชื่นชอบจนคลั่งไคล้ ทำให้ไปศึกษาเพิ่มเติมพบว่า ความเป็นญี่ปุ่นดั้งเดิมนั้น หากจะเปิดร้านซูชิต้องใช้เขียงไม้ฮิโนกิ เพราะคุณสมบัติและเอกลักษณ์ของไม้ที่คงความเป็นญี่ปุ่น เหมาะกับการทำอาหาร โดยเฉพาะของดิบ เนื้อไม้มีน้ำมันที่ช่วยป้องกันการเกิดเชื้อราและแบคทีเรีย อีกทั้งยังทำความสะอาดง่าย

โดยโครงการฮิโนกินั้น พิชญาเล่าว่า เธอมีโอกาสได้พบกับ “อนิรุทธ์ จึงสุดประเสริฐ” เจ้าของฮิโนกิแลนด์ (Hinoki land) ที่ อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ เพื่อขอความรู้มาต่อยอดกับธุรกิจ “WA” ภายใต้ “บริษัท ฮิโนกิ วู้ด เวิร์ค จำกัด” โดยมุ่งเน้นผลิตเขียงไม้ ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน อุปกรณ์ตกแต่งภายใน ตลอดจนเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้สนญี่ปุ่น

Advertisement

“เขียงไม้ทุกชิ้นที่ผลิตออกมาเป็นงานแฮนด์เมด เป็นงานศิลปะซึ่งอยากให้คนใช้ไม่ได้มองว่าเป็นเขียง อยากให้มองว่าเป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพ ซึ่งการรับประทานอาหารที่ดีอาจยังไม่พอ หากแต่ควรจะดูแลตัวเองให้ครบสมบูรณ์ด้วยการมองหาอุปกรณ์ที่ดีในการใช้เตรียมทำอาหารด้วย”

ดังกล่าวนี้ล้วนตอบโจทย์ความเป็น “ของขวัญจากธรรมชาติ” ที่พิชญาและแบรนด์ “WA” ตั้งใจมอบให้ผู้บริโภค

กว่าจะเป็น “เขียงไม้ฮิโนกิ” ?

เป็นคนชอบกิน ชอบทำอาหาร เรียกได้ว่าคลั่งไคล้อาหารเลยทีเดียวค่ะ (หัวเราะ) ตั้งแต่มีโอกาสไปใช้ชีวิตที่นิวยอร์กสมัยเรียนปริญญาตรี ได้สัมผัสและมีไลฟ์สไตล์ที่ล้อมรอบด้วยอุตสาหกรรมอาหาร จากที่ชิมมาทั้งหมดชื่นชอบอาหารญี่ปุ่นพวกซูชิและแนวโอมากาเสะ (Omakase) มากที่สุด เพราะอาหารประเภทนี้มีวิธีการทำอย่างพิถีพิถัน ไม่ได้เน้นเรื่องอาหารอย่างเดียว แต่เป็นการผสมผสานที่ลงตัวของศิลปวัฒนธรรมการทำอาหารญี่ปุ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะกับรสชาติของอาหาร

บางครั้งเวลาไปที่ร้านเคาน์เตอร์เห็นว่าเขียงเขาเนียนเลยถามเชฟว่าเขียงนี้คือไม้อะไร เขาบอกว่าเป็นไม้สนญี่ปุ่น ก็เลยอ๋อ โอเค จากนั้นได้มีโอกาสไปเจอกับคุณอาอนิรุทธ์ จึงสุดประเสริฐ เจ้าของฮิโนกิแลนด์ (Hinoki land) เดิมชื่อบ้านไม้หอม ที่ อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ คุยกันว่าถ้าสนใจอยากมาลองจับตลาดเรื่องการทำเครื่องครัวเกี่ยวกับไม้ตัวนี้คุณอาอนุญาตไหม เขาอนุญาต บอกว่าให้ลองดูได้ เป็นจุดเล็กๆ น้อยๆ ว่าทำไมตัวเองมาทำเขียง

เมื่อมาศึกษาเพิ่มยิ่งเข้าใจว่าความเป็นญี่ปุ่นดั้งเดิมนั้น ถ้าทำร้านซูชิจริงๆ ต้องใช้เขียงไม้ฮิโนกิ ด้วยคุณสมบัติและเอกลักษณ์ของไม้ที่คงความเป็นญี่ปุ่นมาก เหมาะกับการทำอาหารโดยเฉพาะของดิบเพราะไม้ฮิโนกิไม่ทำให้เกิดเชื้อรา ทำให้คนญี่ปุ่นชอบใช้ ที่สำคัญไม่ได้มองว่าจะทำเขียงอย่างเดียว เนื่องจากตัวไม้สามารถแตกไลน์ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้อีก เช่น ตะเกียบ เครื่องครัวอื่นๆ แก็ตเจ็ต แอคเซสเซอรี่ อินทีเรีย ตลอดจนทำเฟอร์นิเจอร์ได้ด้วย

ที่ลงเอยด้วยเขียง “WA” ซึ่งเป็นแบรนด์ที่อยู่ภายใต้บริษัท ฮิโนกิ วู้ด เวิร์ค จำกัด ซึ่ง “WA” ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า Peaceful Harmony อยากให้แบรนด์มีความอบอุ่น เสมือนความสงบ ด้วยเนื้อไม้ที่เรียบเนียน และมองว่าเทรนด์ด้านสุขภาพกำลังมา หากคนที่คำนึงสุขภาพน่าจะคำนึงถึงของที่เราใช้เตรียมอาหารด้วย ไม่อยากมองให้เป็นแค่เขียงทำอาหาร แต่อยากให้มองว่าเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์

คุณสมบัติของเขียงไม้ฮิโนกิ?

เขียงนี้ทำจากไม้ชนิดเดียวกันกับที่สร้างฮิโนกิแลนด์ ซึ่งไม้ฮิโนกิเป็นไม้สนเนื้ออ่อนของญี่ปุ่น มีผิวเนียน มีคุณสมบัติหลากหลายตามลักษณะ หลักๆ คือไม่เกิดเชื้อราเนื่องจากมีน้ำมันอยู่ในตัว เป็นน้ำมันที่มีสาร Phytoncide ช่วยยับยั้งแบคทีเรีย นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมแบบอโรมาเธอราพี ช่วยให้ผ่อนคลาย คนญี่ปุ่นจึงนำไม้ฮิโนกิไปทำซาวน่า เพราะไม้ตัวนี้ยิ่งโดนน้ำ กลิ่นหอมจะยิ่งออก ที่สำคัญคือมีความทนทาน เพราะวัดที่โอซาก้าก็สร้างด้วยไม้ฮิโนกิ อยู่มากว่าพันปีโดยไม่เป็นอะไรเลย นี่เป็นหนึ่งในคุณสมบัติโดดเด่น รวมทั้งยืนหยุ่นและซับความชื้นได้เป็นอย่างดี

นำไม้มาจากไหน ต้องมีอายุเท่าไหร่?

นำมาจากประเทศเพื่อนบ้าน คนญี่ปุ่นมองว่าไม้นี้ศักดิ์สิทธิ์ คนที่ตัดได้ต้องมีใบอนุญาต ทำให้เขาเริ่มเอาไปปลูกที่ต่างประเทศ สูงเหนือน้ำทะเล 800 เมตร เพราะฮิโนกิขึ้นในที่สูงอย่างเดียว จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราอาจเห็นสนชนิดนี้อยู่ในประเทศอื่น ส่วนการคัดเลือกไม้เราดูค่าน้ำมันว่าชื้นหรือแห้งไปไหม โดยนำไปตรวจที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ว่าเป็นไม้ฮิโนกิแท้หรือไม่ เพราะของแท้ก็คือแท้ ถ้าคนมาอ้างว่านี่คือไม้ฮิโนกิก็สามารถตรวจสอบได้ ที่สำคัญฮิโนกิมีลายเป็นเอกลักษณ์ และสีไม้ขึ้นอยู่กับอายุ

การรับรู้เรื่องไม้ฮิโนกิของคนไทยนั้น ตอนนี้อาจจะยังไม่รู้จัก เพราะเป็นอะไรที่ญี่ปุ่นจ๋ามาก แต่คนญี่ปุ่นรู้จักแน่นอน สิ่งที่แบรนด์กำลังทำอยู่คือการให้ความรู้ผ่านสื่อ เราได้ไปคุยกับสื่อโซเชียลมีเดียให้เขาช่วยเสนอความรู้เรื่องไม้ฮิโนกิ อยากให้คนรู้จักไม้ให้มากที่สุดก่อน ค่อยมาเข้าใจคุณค่าของผลิตภัณฑ์ (ยิ้ม)

ออกแบบเขียงอย่างไร มีกี่แบบ กี่ทรง?

เขียงที่จะนำออกตลาดมีทั้งหมด 5 ไซซ์คือ S (12x8x1), M (16x10x1.5), L (20x12x1.5), XL (24x18x2) และ XXL (24x18x4) หรือเมดทูออเดอร์ สำหรับทำเคาน์เตอร์บาร์ แต่ละไซซ์ได้อิงตามความชอบผู้ใช้งาน มีการสำรวจตลาดว่าชอบความหนา ความบางอย่างไร หรือทำไซซ์ไหนบ้าง เราคิดถึงโปรดักต์ดีไซน์ ขอบไม่คมเพราะอยากเน้นความ “น้อยแต่มาก” ของญี่ปุ่น

บางคนอาจมองว่าเขียงมีไม้ต่อได้ โดยเอาเศษไม้มาต่อ แต่ของเราเป็นไม้ชิ้นเดียวหมด หนาแบบนี้ กว้างยาวเท่านี้อยู่แล้ว เราไม่ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ไม้ตัวจริงมาก เราเน้นเป็นของขวัญจากธรรมชาติ อยากให้คนที่ได้รับเขียงรู้สึกว่าสิ่งที่เขาได้รับคือของขวัญจากธรรมชาติจริงๆ และทุกชิ้นเป็นแฮนด์เมด อย่างโลโก้ก็ห้ามใช้สารเคมี ไม่เลเซอร์ ใช้ที่กดความร้อน (Hotstamp) เพื่อให้เป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเวลาใช้ที่กดความร้อนลงไปสามารถมองเป็นศิลปะได้ด้วย เพราะน้ำหนักมือแต่ละครั้งไม่เท่ากัน

อยากให้คนที่ได้รับเขียงมองเป็นกึ่งไลฟ์สไตล์ กึ่งอาร์ตเวิร์กที่เขาสามารถนำไปใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้ ไม่อยากให้มองว่าเป็นเขียงเฉยๆ (ยิ้ม)

จุดเด่นของเขียงฮิโนกิ?

ก่อนออกสู่มือคนใช้ เราเคลือบด้วยน้ำมันมะกอกเพื่อให้ไม้คงความชุ่มชื้น ก่อนเคลือบด้วยพลาสติกเพื่อความมั่นใจเรื่องความสะอาดและสุขอนามัย นอกจากนี้ยังทำความสะอาดง่าย เพราะคนญี่ปุ่นดั้งเดิมกับเขียงไม้มักจะใช้แค่ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ด เขาเชื่อในคุณสมบัติของไม้ซึ่งอยู่ได้นาน แต่ถ้าไม่มั่นใจในการเช็ดด้วยน้ำอุ่น สามารถใช้น้ำยาทำความสะอาดได้ หรือจะตากแดดก็ได้ แต่ด้วยคุณสมบัติของเขียงที่แห้งเร็วอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องตากแดดเลย

บางคนอาจเข้าใจผิด มองว่าเขียงพลาสติกดีกว่า ไม่เกิดเชื้อรา แต่ถ้าอ่านงานวิจัยจะพบว่าเขียงไม้ดีกว่า เพราะเมื่อใช้เขียงพลาสติกหั่น เราจะไม่รู้เลยว่ามีเศษอะไรแตกจากการหั่นเจอปนไปกับอาหารบ้าง บริโภคไปก็ไม่ดี รวมทั้งหลังใช้งานเขียงพลาสติกจะมีรอยมีดขูด-ข่วนจนเกิดร่อง เกิดแบคทีเรียได้ง่ายกว่าเขียงไม้ เพราะร่องลึกและฝังยาวนาน แต่เขียงไม้ฮิโนกิไม่มีเชื้อรา เนื่องจากมีน้ำมันในตัว ช่วยยับยั้งการเกิดแบคทีเรีย

เริ่มจำหน่ายแล้ว?

เริ่มลองวางตลาดแล้ว ประกอบกับเรามีพาร์ทเนอร์เป็นผู้นำเข้าผลไม้พรีเมียมญี่ปุ่น เมื่องาน Japan Premium Food Fair ที่พารากอนที่ผ่านมาจึงลองไปวางดู ผลตอบรับค่อนข้างดี คนเริ่มรู้ว่าฮิโนกิคืออะไร

ตอนนี้เรามีเว็บไซต์ https://hinokiwoodwork.com สำหรับลูกค้าออนไลน์ เพราะเราไม่ได้มองแค่ขายในประเทศไทย แต่มองถึงต่างประเทศด้วย นอกเหนือจากนั้นยังไปวางที่ร้าน Pantry Magic ที่ Eight Thonglor ซึ่งเป็นร้านนำเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องครัว

“…อยากให้คนที่ได้รับเขียงรู้สึกว่าสิ่งที่เขาได้รับคือ

ของขวัญจากธรรมชาติ เพราะทุกชิ้นเป็นงานแฮนด์เมด

อยากให้มองเป็นกึ่งไลฟ์สไตล์ กึ่งอาร์ตเวิร์ก

ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้….”

วางเป้าหมายให้ธุรกิจตัวเองอย่างไร?

มีศักยภาพขนาดใหญ่ เพราะไม่ได้มองว่ามีแค่เขียง ด้วยตัวไม้ฮิโนกิและเทรนด์หลายๆ อย่างที่กำลังเปลี่ยน เช่น เทรนด์ด้านสุขภาพ มองว่าธุรกิจนี้จะสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์คนได้ด้วย

บางทีก็มองตัวเองว่าไม่ใช่พวกอนุรักษนิยมสักเท่าไหร่ เพราะค่อนข้างมุมานะ มีความพยายาม บางอย่างถ้าเราไม่ลองก็ไม่รู้ด้วย คือมองทุกอย่างในแง่ดีไว้ก่อน เพราะถ้ามีเป้าหมายในทางที่ดีจะยิ่งทำให้เราอยากทุ่มเทกับมันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้มองทุกอย่างดีหมด บางทีก็ไปหาที่ปรึกษา ไปหาคุณพ่อว่าสิ่งที่คิดถูกไหม ให้เขาช่วยดูว่าเรากำลังเดินถูกเส้นทางรึเปล่า

การจะทำธุรกิจให้สำเร็จ เรื่องทีมเวิร์กสำคัญ ถ้าทุกคนเข้าใจตรงกัน มีเป้าหมายที่เหมือนกัน มันง่ายมากที่เราจะเดินไปด้วยกัน แต่ถ้าเมื่อไหร่มีคนไม่เห็นด้วย สามารถโต้แย้งกันได้ตลอด ถ้าเตือนๆ เราก็เข้าใจ ทีมเราเล็ก มีอยู่ไม่กี่คน รวมทั้งไม่ได้ใช้เงินลงทุนมหาศาล เสมือนสตาร์ตอัพเล็กๆ เพราะเน้นเอาต์ซอร์ส ตัวเองทำเองทุกอย่างตั้งแต่คิดแบรนด์ไปจนถึงวิ่งขาย คือบริหารก็ยาก แต่บริหารคนนั้นยากกว่า (ยิ้ม)

ส่วนกลุ่มเป้าหมายจริงๆ มองว่าทุกคน ไม่ได้แค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง อาจเป็นคนที่ห่วงสุขภาพนิดหน่อย หรือคนที่คำนึงถึงสิ่งของใช้เตรียมทำอาหาร ถ้ามองเป็นสินค้ามันอาจไม่ได้แมส เพราะตัวไม้ทำให้ของค่อนข้างพรีเมียม

นำการเรียนมาประยุกต์กับการทำงาน?

ตอนแรกที่เรียนจิตวิทยาเพราะมองว่าเป็นพื้นฐานได้กับทุกอาชีพ ส่วนตัวก็เรียนเกี่ยวกับธุรกิจ การตลาด แต่ไม่เคยจับ แต่ตอนนี้คือการตลาดและธุรกิจล้วนๆ พื้นฐานทางจิตวิทยากับการตลาดใช้ด้วยกันได้แน่นอน หนึ่งคือ ดูเรื่องลูกค้าและพฤติกรรมมนุษย์ คนมีนิสัยยังไง ชอบใช้อะไร เราใช้จุดนั้นทำความเข้าใจกับสิ่งที่เราอยากจะทำ สองคือ เรื่องการทำงานกับคน เรารู้แล้วว่าคนทำงานเป็นยังไง เขาทำกับเราแล้วโอเคไหม เขาคิดยังไง เราใช้ตรงนั้นมาช่วยนิดหน่อย แต่ไม่ได้ไซโคเขานะคะ (ยิ้ม)

จิตวิทยาสอนให้เรามองบางอย่างที่ไม่เหมือนคนอื่น บางคนอาจจะตรงไปตรงมาเลย แต่จิตวิทยาให้เรามองเห็นแบบเหนือกว่า ทำให้เราคิดว่าถ้าผลิตสินค้าออกมาคนจะชอบไหม ถ้าเรามองออกว่าเขาชอบแบบนั้น แบบนี้ ก็สามารถช่วยธุรกิจได้

ความจริงแล้วเรียนจิตวิทยาควบกับการศึกษา เพราะที่บ้านมีโรงเรียน ปูทางให้ตัวเองมาบริหารโรงเรียนมากกว่าจับธุรกิจ พอเริ่มเรียนก็ชอบ แต่มองว่าถ้าไปด้านนั้นจะไม่ได้เจอความท้าทายมาก เพราะฝาแฝดจับทางนั้นแทน ตัวเองชอบความท้าทายมากกว่า ถ้าเข้าไปบริหารโรงเรียนซึ่งทุกอย่างมันราบรื่นแล้ว พอมาจับธุรกิจเลยอยากหาชาเลนจ์ให้ตัวเอง ทำอะไรที่ไม่เคยทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำในสิ่งที่เป็นแพสชั่นก็อยากลองดู (หัวเราะ)

เทรนด์เปลี่ยนไว มีแนวคิดการดำเนินธุรกิจต่อไปอย่างไร?

ส่วนตัวไม่ได้บอกว่าจะหยุดอยู่ที่โปรดักต์นี้อย่างเดียว ขณะเดียวกันก็เป็นคนชอบอ่านหนังสือ จะศึกษาหาดูเทรนด์ว่าไปทางไหนก็จะปรับตัวไปเรื่อยๆ มองว่าถ้าเราปรับตัวไปตามเทรนด์ได้ อย่างอื่นก็จะตามมาเอง ทั้งผู้บริโภคและไลฟ์สไตล์

ตอนนี้โฟกัสเพียงธุรกิจไม้ฮิโนกิ ทำอย่างจริงจัง และมองไปไกลถึงการเปิดตลาดที่ต่างประเทศ ลองดูว่าเขามีแนวโน้มการใช้อย่างไรบ้าง เพราะไม้ฮิโนกินั้น ทุกชิ้นที่นำมาใช้ เราไม่ทิ้งเศษเลย เพราะเศษไม้มีประโยชน์ เช่น สามารถนำขี้เลื่อยไปอัดเป็นก้อน ทำเป็นถุงหอมได้ เนื่องจากไม้มีกลิ่นหอม ทั้งยังสามารถช่วยลดกลิ่นอับได้ด้วย นอกจากนี้อยากเปิดร้านอาหารด้วย (หัวเราะ) อาจเป็นอาหารญี่ปุ่น อาหารฟิวชั่น หรืออาหารเพื่อสุขภาพไปเลย เพราะคนกำลังให้ความสนใจกับสุขภาพมากเป็นพิเศษ แต่เรื่องเปิดร้านอาหารมีอยู่ในแผนแล้ว อย่างที่บอกว่าเราไม่ได้ขายแค่นี้ แต่จะแตกไลน์สินค้าให้ไปเป็นอย่างอื่นด้วย ซึ่งร้านอาหารก็เป็นหนึ่งในไลน์ที่จะทำ

คุณพ่อเป็นนักการเมือง แนะนำให้เล่นการเมืองบ้างไหม?

คุณพ่อสั่งไม่ให้เล่นทั้งคู่เลยค่ะ (ยิ้ม) ส่วนตัวไม่ได้อินการเมืองมากขนาดนั้น แต่ด้วยครอบครัวอยู่ในแวดวงนี้ ต้องทำความเข้าใจพอสมควร เพื่อจะได้เข้าใจการกระทำหลายๆ อย่าง แต่ก็ไม่ได้อินขนาดที่จะเข้าไปเล่น (หัวเราะ)

ท่านมีเหตุผลที่ไม่ให้เล่น เพราะท่านรู้ว่าเราจะไปเจออะไรเยอะแยะมาก ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง การเมืองเป็นเรื่องละเอียดอ่อน มีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งหลายปัจจัยนั้นบางทีมันอยู่เหนือการควบคุมของเราแล้ว การเมืองเป็นการเข้าใจหลายๆ อย่าง หลายๆ กลุ่ม หลายๆ คน หลายๆ ความคิดที่รวมกันเป็นหนึ่ง ทั้งซับซ้อนและละเอียดอ่อน

กิ๊กโชคดีอย่างหนึ่งคือ คุณพ่อการเมืองมากๆ แต่ท่านไม่เคยเอาเรื่องการเมืองมาไว้ที่ครอบคัรว แยกกันเด็ดขาด ตั้งแต่เล็กจนโตกุ๊กกับกิ๊กรู้เรื่องการเมืองตลอด แต่ไม่เขาเคยทำให้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตมากขนาดนั้น ทุกคนสามารถเรียนรู้และใช้ชีวิตได้ตามปกติ พ่อค่อนข้างแบ่งเส้นชัดเจน ครอบครัวคือครอบครัว การเมืองคือการเมือง ไม่ให้คาบเกี่ยวกัน อยากให้เราใช้ชีวิตได้เหมือนเด็กทุกคนอยู่แล้ว ไม่อยากให้มองว่าการเมืองเข้ามาแทรกในการใช้ชีวิตของเรา (ยิ้ม)

มองคุณพ่อเป็นต้นแบบการทำงานอย่างไร?

ด้วยแบ๊กกราวด์ของคุณพ่อเป็นคนที่มาจากไม่มีอะไรเลย แต่มาถึงจุดนี้ได้ มองเขาเป็นแรงบันดาลใจมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ท่านมีความมุ่งมั่น อยากขยันทำงาน เดินตามเส้นทางของคุณพ่อแน่นอน เพราะทุกอย่างที่เขาทำหรือมีได้จนถึงทุกวันนี้มาจากความพยายาม การเรียนรู้ พัฒนาตัวเอง ไม่ได้อยู่กับที่ วันหนึ่งก็อยากเป็นแบบเขา ประสบความสำเร็จแบบเขาเหมือนกัน (ยิ้ม)


“จริงจังและมองไกล”

คือความตั้งมั่นในการประกอบธุรกิจไม้ฮิโนกิของ “พิชญา รักตพงศ์ไพศาล” สาวตัวเล็กแต่ใจใหญ่ เปี่ยมไปด้วยแพสชั่นอันแรงกล้า

ตั้งต้นจากการเป็นสตาร์ตอัพเล็กๆ มิใช่ทุ่มทุนมหาศาล และไม่ใช่การที่ลูกคนรวยลงมาลุยเอง หากแต่มองการณ์ไกล พุ่งเป้านำสินค้าเปิดตลาดต่างประเทศ

และแม้จะเล่าเรียนด้านจิตวิทยา แต่ก็ควบคู่กับการศึกษา ทว่าเกี่ยวเนื่องกับการประกอบธุรกิจโดยตรง

เพราะการสังเกตพฤติกรรมมนุษย์อย่างลุ่มลึกกว่า มองเห็นความนิยมชมชอบในผลิตภัณฑ์ ล้วนส่งผลประโยชน์กับแบรนด์ “WA” ของบริษัท ฮิโนกิ วู้ด เวิร์ค จำกัด เต็มๆ!

แถมยังเป็นที่รู้กันว่า พิชญาเป็นทายาทนักการเมืองดัง อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง หลายยุคสมัย ทั้งยังมีธุรกิจครอบครัวเรื่องการศึกษา แต่ใครจะรู้ว่าครอบครัว โดยเฉพาะ “คุณพ่อ” ไม่เคยบังคับลูกๆ ให้เรียนเพื่อกลับมาสานต่อธุรกิจของที่บ้านแต่อย่างใด

ยืนยันจากปากพิชญาเองคือ “คุณพ่อเปิดโอกาสให้ลูกๆ ได้เลือกเส้นทางการใช้ชีวิตของตัวเอง อยากลองทำหรืออยากเรียนรู้อะไร แต่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ซึ่งท่านเองจะเป็นเพียงที่ปรึกษาเท่านั้น ท่านสอนเสมอว่าให้แยกแยะระหว่างการทำงานและการเล่น “work hard, play harder” เล่นได้ แต่ก็ต้องทำงานด้วย ให้รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ซึ่งทุกอย่างจะประสบความสำเร็จได้ เมื่อเราเริ่มลงมือทำ มีการวางแผนที่ดี และทำทุกอย่างด้วยความพยายามเต็มร้อย”

เมื่อถามว่า คุณพ่อชวนมาเล่นการเมืองบ้างหรือไม่ เธอยิ้ม พร้อมตอบกลับทันควัน “คุณพ่อสั่งไม่ให้เล่นทั้งคู่เลยค่ะ”

พิชญาอธิบายเหตุผลอย่างละเอียดชัดแจ้ง ก่อนจะบอกว่าตอนนี้โฟกัสเพียงธุรกิจไม้ฮิโนกิ และทำอย่างจริงจังแน่นอน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image