เมื่อวาน วันนี้ และพรุ่งนี้ของ ‘สามารถ พยัคฆ์อรุณ’ ตำนานยอดมวยอัจฉริยะ

ถือเป็นตำนานยอดนักมวยอัจริยะอีกคนสำหรับ “พยัคฆ์หน้าหยก” สามารถ พยัคฆ์อรุณ ซึ่งแม้เวลาจะผ่านมาหลายสิบแล้ว แต่แฟนวงการมวยยังคงจดจำภาพของเขาได้อย่างติดตา และยังคงถูกกล่าวถึงมาจนถึงยุคปัจจุบันถึงผลงานที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่จุดเริ่มต้นจากการเป็นนักมวยไทย และประสบความสำเร็จสูงสุดในการเป็นนักมวยอาชีพ

สามารถ เริ่มชกมวยไทยตั้งแต่อายุ 11 ปี ก่อนก้าวมาคว้าแชมป์สนามมวยเวทีลุมพินีถึง 4 รุ่น จนถูกยกย่องให้เป็นนักมวยอัจฉริยะด้วยชั้นเชิงแพรวพราว สายตาดี ชกได้สนุก ชนะใจคนดู ก่อนก้าวสู่เส้นทางการชกมวยอาชีพ และกลายเป็นแชมป์โลกคนที่ 10 ของไทยจากการคว้าแชมป์รุ่นซุปเปอร์แบนตั้มเวท (122 ปอนด์) ของสภามวยโลก 2 สมัย

ปัจจุบัน สามารถ ในวัยย่าง 58 ปี ยังคลุกคลีอยู่กับวงการมวยไทยด้วยการเปิด ค่ายมวยสามารถพยัคฆ์อรุณยิม ย่านสายไหม 31 ซึ่งโอกาสนี้พยัคฆ์หน้าหยกได้เปิดค่ายมวยให้ทีมงาน “มติชน” บุกไปสัมภาษณ์ถึงมุมมองต่างๆ ที่เขามีต่อวงการมวยไทย รวมถึงเรื่องราวเส้นทางชีวิตงบนสังเวียน จากวันวาน ถึงวันนี้ และพรุ่งนี้ของตำนานยอดมวยอัจฉริยะ

อัพเดตชีวิตในช่วงปัจจุบันนี้

Advertisement

ตอนนี้ก็เรื่อยๆ ครับ ตั้งแต่ช่วงโควิดมาก็ได้พักผ่อนเต็มที่หน่อย อยู่บ้านอย่างเดียวเลย ซึ่งในช่วงโควิดก็มีงานละครที่ต้องหยุดถ่ายทำ แต่ตอนนี้ก็เริ่มกลับมาถ่ายแล้ว ส่วนค่ายมวยสร้างมาตั้งแต่ปี 2552 ตอนสร้างใหม่ๆ ใช้ชื่อว่า ค่ายมวยภพธีรธรรม  แต่พอเลิกกับแฟนคนเก่าก็เปลี่ยนชื่อเป็น ค่ายมวยสามารถพยัคฆ์อรุณยิม ซึ่งทำมาได้กว่า 12 ปีแล้วครับ

ค่ายมวยตอนนี้เป็นไงบ้าง

ตอนช่วงโควิดก็ถือว่าซบเซา แต่ตอนนี้ก็เริ่มกลับมาใกล้จะเหมือนเดิมแล้วครับ บางวันมีลูกศิษย์เรียน 10-20 คน แล้วแต่วันครับ เขาก็จะหมุนเวียนกันมา แต่ก่อนหน้าช่วงโควิดก็จะมีลูกศิษย์ชาวต่างชาติด้วย คือจะมากินมานอนมาพักอยู่กับเราเลย ช่วงนี้ก็เหลือแต่เด็กไทย เพราะต่างชาติยังเข้าไทยไม่ได้ครับ

Advertisement

ความยากในการบริหารค่ายมวย

ต้องบอกตามตรงว่า ผมแทบจะไม่รู้เรื่องเลย ซึ่งตอนนี้คนที่บริหารค่ายจริงๆ ก็จะเป็นลูกสาวของผมที่อยู่ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งดูแลทางต่างประเทศ และ น้องมอส ธิดารา ก็จะช่วยดูแลค่ายอยู่ที่ไทย ส่วนตัวเองนั้นมีหน้าที่คอยสอนนักมวย ค่อยดูแลครูมวยอีกทีนึง

ช่วงตอนเปิดแรกๆ เราก็ลงไปสอนเอง แต่ทุกวันนี้ก็จะคอยยืนดูครูมวยสอน และเราก็จะคอยแนะนำ ครูมวยในค่ายตอนนี้มี 7-8 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีคนอยากมาเรียนโดนตรงกับผม แต่ผมก็จะบอกว่าเราไม่ได้ลงไปสอนเต็มตัวแบบเมื่อก่อนแล้ว แต่จะบอกว่าครูมวยที่ค่ายนี้ทุกอย่างก็จะเหมือนกับผมทั้งหมด

ศาสตร์บริหารค่ายมวยแบบตัวเอง

ผมต้องบอกว่า เราบริหารไม่ได้ เราใจดีเกินไป เราดูคนไม่เป็น ทุกวันนี้อย่างที่บอกไปก็คือ คอยให้ลูกสาว และน้องมอส เป็นคนดูแล เพราะถ้าเวลาผมพูดเวลาพูดแรงไปครูมวยก็จะเสียใจกัน เพราะปกติผมจะไม่ด่าใครเลย ปล่อยไปตามธรรมชาติ ผมถึงบอกว่า ผมบริหารไม่ได้ จึงให้คนอื่นมาดูแลแทน เราก็มาคอยดูอีกทีนึง

เอาจุดเด่นตัวเองไปสอนนักมวย

เราก็จะเอาความรู้ความสามารถที่มีอยู่ไปสอนเด็ก และสอนทุกคน แต่ขึ้นอยู่กับเด็กว่า เราสอนไปแล้วเขาทำได้ไหม บางคนข้างล่างทำได้ แต่พอขึ้นไปบนเวทีอาจจะทำไม่ได้ ซึ่งเราบอกเขาไปว่า ต้องกล้านะ สิ่งที่ผิดพลาดไป ไม่เป็นไร เแก้ไขกันได้ พราะบางคนเราสอนเขาไปเขาทำไม่ได้ ก็ต้องดูไอคิวเด็กด้วย

การปั้นนักมวยไทยสู่นักมวยสากล

หัวหน้าค่ายมวยทุกคนก็คงคิดเหมือนกัน ถ้าเก่งมวยไทยไม่มีคู่ต่อยแล้วเราก็ต้องให้หันไปต่อยมวยสากล ทีนี่้เราก็ต้องดูเด็กของเราด้วยว่า เก่งแนวไหน เพราะถ้าไม่ใช่มวยฝีมือจริงๆ ก็ไปยาก เราก็ต้องดูเด็กของเราด้วยว่าต่อยสากลได้หรือไม่

ชาวต่างชาติที่สนใจเรียนมวยไทย

จริงๆ ตรงนี้เป็นผลดีต่อมวยไทยที่ทั่วโลกเขาหันมาสนใจ แต่อยู่ที่ว่า เราสอนเขายังไง ถ้าสอนแล้วเขาชอบยังไงเขาก็ต้องกลับมาเรียนอีก เพราะค่ายมวยทุกค่ายชาวต่างชาติสำคัญที่สุด เนื่องจากเขามาอยู่ที่ค่ายมวยเป็นเดือน และก็ช่วยให้ค่ายมีรายได้ ถ้าเดือนนึงเรามีนักมวยต่างชาติสัก 7-8 คน เราก็อยู่ได้สบาย

แต่ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่า ชาวต่างชาติจะได้เข้ามาเมืองไทยได้เหมือนเดิมเมื่อไหร่ ผมคิดว่าน่าจะอีกเป็นปีกว่าต่างชาติจะได้เข้ามาเมืองไทย ได้เข้ามาเรียนมวยไทย ตอนนี้เราก็ต้องประคองตัวกันอย่างเดียว ทำยังไงให้ค่ายอยู่ได้ เราก็เปลี่ยนมาเน้นที่นักมวยชาวไทย ส่วนนักมวยอาชีพเราก็ยังไม่มีความหวังว่าเขาจะกลับมาเปิดต่อยกันเมื่อไหร่

ผลกระทบต่อค่ายมวยในช่วงโควิด

มันส่งผลแน่ทุกวงการครับ ช่วงที่ผ่านมาเราหยุดไป 3 เดือน แต่เทรนเนอร์ ครูมวย และนักมวย เรายังต้องเลี้ยงไว้ แต่มันไม่มีรายได้เข้ามา มีแต่รายจ่ายอย่างเดียว เขาอยู่กับเราในช่วงโควิด จะให้เขาหยุดไม่ได้ แต่อาจจะให้เงินเดือนน้อยหน่อยนะ แต่มีที่อยู่ที่กินทุกอย่างพร้อม ก็ถือว่ายังพอได้อยู่ครับ ไม่ถึงขนาดไม่ไหว แต่ถามว่าเดือดร้อนไหม เดือดร้อนครับ แต่เราก็ยังไหวอยู่

ช่วงนี้ก็ต้องเลี้ยงนักมวย กินอยู่บำรุงทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม แต่มวยไม่มีรายการต่อย ซึ่งยอมรับว่า ลำบากอยู่ครับช่วงนี้ทุกค่ายมวย ตอนนี้ในค่ายก็มีนักมวยอาชีพอยู่ 8 คนครับ ปกติก็ชกทั่วไปตามเวทีลุมพินี ราชดำเนิน ด้านศิษย์เอกที่พอมีแววอยู่คือ ก้องบูรพา ทิพย์ท่าไม้ และนักมวยรุ่นเล็กอีกหลายคนที่มีอนาคตอยู่ครับ

มุมมองต่อมวยไทยกับการแพร่โควิด

จริงๆ มันไม่เกี่ยวกันหรอก คนวงการมวยเขาดูกันมากว่า 10 ปีก็ไม่มีอะไร แต่เชื้อโรคนี้มันมาจากต่างชาติแล้วเข้ามาดูมวย ไม่ใช่มาจากเซียนมวยจริงๆ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าเป็นเรื่องปกติ คนดูวันนั้นก็หลายพันคน แต่ก็มีไม่กี่คนที่ติด ซึ่งจริงๆ แล้วผมคิดว่าไม่ได้เกี่ยวกับวงการมวยเลย

ถ้าวันนั้น แมทธิว ดีน และคนวงการมวยไทยยังไม่เปิดเผยว่า ติดโรคโควิคคนก็ยังไม่รู้ว่ามีเชื้อโรคใหม่นี้ และยังแห่ไปดูมวยกัน ทำให้อาจจะติดกันมากกว่านี้

การปรับตัวของมวยไทยสู้หลังโควิด

อย่างน้อยๆ คิดว่าอีกเป็นปีครับกว่าที่มวยไทยจะกลับมาเหมือนเดิม เพราะทุกวันนี้คนวงการมวยไทยเดือดร้อนหมด เราก็ต้องใช้ของเก่าที่มีอยู่ ผมคิดว่ากว่าที่วงการมวยกว่าจะฟื้นไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหน ถ้ากลับมาเปิดแล้วก็ยังไม่มีคนดู นักมวยก็ได้ค่าตัวลดลง ก็ต้องยอมรับตรงนี้ แต่ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่มวยไทยจะกลับไปเหมือนเดิม

มุมมองต่อวงการอดีตถึงปัจจุบัน

ในยุคช่วงที่ผมเข้ามาใหม่ๆ ช่วงนั้นผมว่าใครๆ ในยุคนั้นก็อยากดูมวย แต่พอมาปัจจุบันช่วงที่เลิกชก และวงการเริ่มซบเซา คืออาจจะมีเรื่องการพนันเข้ามา สมัยผมต่อยมันก็มีเรื่องการพนันอยู่แล้ว แต่ไม่หนักเหมือนปัจจุบันที่การพนันเข้ามาแรง ทำให้การตัดสินเปลี่ยนไป คนดูมวยเขาก็เลยเบื่อกัน

ทุกวันนี้ผมคิดว่า มวยไทยเกือบถึงจุดต่ำที่สุดแล้วแหละ ผมคิดว่าต้องมีใครเข้ามาช่วยให้มวยบูมขึ้นมา เพราะทุกคนเข้ามาวงการมวยไทยเพื่อหาผลประโยชน์ทั้งนั้น ไม่ได้เข้ามาเพื่อให้วงการเจริญรุ่งเรือง หรืออนุรักษ์ศิลปะประจำชาติ ก็เลยทำให้วงการมวยมันต่ำลง

การแก้ไขมวยไทยที่ติดภาพการพนัน

แก้ไขไม่ได้ เพราะมวยไทยกับการพนันมันอยู่คู่กันมาตั้งแต่สมัยเริ่มมีเวที เพราะต้องอย่าลืมว่า เวทีมวยก็ต้องอาศัยพวกเซียนมวย เพราะถ้าจัดแล้วไม่มีคนเข้ามาดูเขาก็ไม่รู้จะจัดทำไม ฉะนั้นการแก้ไขจึงเป็นเรื่องยาก นอกจากจะมีใครจริงๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบการให้คะแนน

จุดสูงสุดในชีวิตการเป็นนักมวย

เป็นช่วงต่อยมวยไทยที่เรากวาดแชมป์เวทีลุมพินี 4 รุ่น จนมาต่อยมวยสากลอาชีพ และก็ได้เป็นแชมป์โลกคนที่ 10 จากรุ่นซูเปอร์แบนตั้มเวท (122 ปอนด์) ของสภามวยโลก ถือว่าตอนนั้นเราประสบความสำเร็จทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทั้งมวยไทย และมวยสากล

ไฟต์ประทับใจที่สุดในการชก

ถ้าเป็นมวยไทยประทับใจไฟต์ที่ต่อยกับ พี่ไก่ หนองคาย (หนองคาย ส.ประภัสสร) เพราะเราดูเขาตั้งแต่ยังเด็ก และชอบเขามานาน พอโตขึ้นมาก็ได้ทันต่อยกันเขา แต่ถ้าเทียบกันจริงๆ กระดูก และชั้นเชิงของเราเทียบเขาไม่ได้หรอก แต่ถ้ามาต่อยกันแล้วปรากฏว่า เราชนะเขาได้ง่ายๆ อาจเพราะช่วงนั้นเป็นช่วงปลายของพี่ไก่เขาแล้ว

ส่วนมวยสากลจะเป็นไฟต์ที่คว้าแชมป์โลกรุ่นซุปเปอร์แบนตั้มเวท (122 ปอนด์) ของสภามวยโลก ด้วยการชนะน็อก กัวดาลูเป ปินตอร์ นักมวยชาวเม็กซิกัน (เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2529) ซึ่งสิ่งเหล่านี้อยู่ในหัวเราอยู่ตลอด เพราะถือเป็นสิ่งที่เราภูมิใจสูงที่สุดแล้วในการเป็นนักมวย

ไฟต์ป้องกันแชมป์โลกครั้งที่ 1

ไฟต์ป้องกันแชมป์โลก ครั้งที่ 1 กับ ฆวน เมซ่า ชาวเม็กซิกัน (เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2529) ตอนนั้นร่างกายเราประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์ แต่พอต่อยไปแล้วรู้คู่แข่งเขาสู้เราไม่ได้ เพราะว่าเขาช้า แต่เราก็พยายามจะน็อกเขา แต่ไม่มีจังหวะ ถ้าเราประมาทผลีผลามเข้าไปเราก็โดนหมัดหนักของเขาได้เหมือนกัน เราก็ค่อยๆ ต่อยไปเรื่อย

ไฟต์นั้นมีจังหวะประทับใจแฟนมวยไทยคือการ โยกหลบหมัดกว่า 20 หมัด ตอนนั้นเราไม่ได้คิดไว้หรอก แต่มันไม่มีจังหวะออก และเรายังออกไปไหนไม่ได้ เราก็ต้องพิงเชือก และหาจังหวะหลบจนเรามีจังหวะรอดออกมาได้ จนกลายเป็นจังหวะดังกล่าว

จุดต่ำที่สุดในชีวิตการเป็นนักมวย

เป็นช่วงต่อยมวยสากลอาชีพที่เสียแชมป์โลก รุ่นซุปเปอร์แบนตั้มเวท (122 ปอนด์) สภามวยโลก ให้กับ เจฟฟ์ เฟเนค นักชกออสเตรเลีย ที่ประเทศออสเตรเลีย (เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2530) ช่วงนั้นถือว่าดวงเราตกเยอะอยู่ เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ตอนนั้นก็โดนกล่าวหาเรื่องล้มมวยอีก

จริงๆ ผมเป็นคนเปิดเผยอยู่แล้ว ถ้าผมล้มมวย ผมจะยอมรับเลยว่า ผมล้มมวย ผมรับเงิน แต่ผมไม่ได้ล้มมวย แล้วมาโดนด่า เราก็เสียความรู้สึก แต่ช่วงนั้นเราก็ปล่อยไป ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่เขา เพราะเราพูดความจริงไปหมดแล้ว เราก็แค่ปล่อยวางไป ทำให้เราถึงรอดออกมาได้ในช่วงนั้น

ชีวิตประจำวันในมุมสบายๆ

ถ้าผมไม่มีงานละครก็จะอยู่ค่ายทุกวัน ตื่นเช้ามาก็จะลงมาดูมวยซ้อมข้างล่าง และก็ขึ้นบ้านไปอาบน้ำ ก่อนลงมากินข้าว และก็เข้าออฟฟิศ อยู่แบบเป็นประจำทุกวัน บางวันก็จะมีเพื่อนมาหามาคุยกัน ทั้งขาวผ่อง สิทธิชูชัย, ดีเซลน้อย ช.ธนะสุกาญจน์ และคนอื่นๆ เราก็จะอยู่แบบง่ายๆ สบายๆ ที่ค่ายมวยนี่แหละครับ

เพื่อนสนิท เขาทราย-สมรักษ์

ไอ้พวกนี้ไม่มีอะไรจะเผา (หัวเราะ) อย่าง สมรักษ์ คำสิงห์ ผมไม่รู้ว่าจะเผาอะไรแล้ว เพราะมันไหม้หมดแล้ว ส่วน เขาทราย แกแล็คซี่ เขามีความตลกเฮฮาไปได้เรื่อยๆ ซึ่งจริงๆ เราอยู่กับเหมือนพี่น้องกัน ก็จะมีอำกันบ้าง แต่ผมจะไม่อำ สมรักษ์ และเขาทราย ส่วนมาก สมรักษ์ จะคอยอำ เขาทราย ตลอด ส่วนเราเป็นคนกลางคอยเบรกคอยอะไร (ฮา)

เวลารวมกันกันคนที่เป็นหัวโจกขี้คุยสุดต้องเป็น สมรักษ์ คุยเก่งมาก โม้บ้าง ไม่โม้บ้าง ก็แล้วแต่มัน (หัวเราะ) ส่วน เขาทราย ก็จะไปออกลูกเล่นน่ารักของเขา คุยเล่นไปเรื่อย ไอ้ผมเป็นเงียบ เพราะทุกคนเขารู้นิสัยว่าผมไม่ค่อยยุ่งกับใคร ตอนนี้แม้เราไม่ค่อยได้เจอกัน แต่ก็โทรกันอยู่เรื่อยๆ

โปรเจ็กค์ต่อไปในวงการมวยไทย

ตอนนี้ผมกำลังจะทำน้ำมันแชมเปี้ยนออย ตรา มารถพยัคฆ์ ซึ่งคิดว่าอีก 1-2 เดือนน่าจะออกจำหน่ายได้แล้ว โดยจะเป็นน้ำมันสมุนไพรที่เหมาะกับนักกีฬา โดยเฉพาะนักมวย สูตรของน้ำมันมารถพยัคฆ์ก็ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้วด้วย

วิธีการดูแลสภาพร่างกายตัวเอง

ผมไม่ได้ดูแลตัวเองอะไรเลย อยู่เหมือนเดิมหมด อยู่ยังไงสมัยก่อนทุกวันนี้ก็ยังอยู่อย่างนั้น เราก็ยังดื่มเป็นปกติ ถามว่าออกกำลังกายไหม เราก็จะแทบจะไม่ได้ออก แต่ทุกวันนี้เราก็จะมานั่งดูนักมวยซ้อม ตรงไหนไม่ดีเราก็จะคอยบอก

จริงๆ ผมปล่อยตัวแบบนี้มาสัก 30 กว่าปีแล้วแหละ แต่ก่อนหน้านั้นเราก็ออกกำลังกายอยู่ทุกวัน พอมาช่วง 5-6 ปีหลังสุดนี้เราก็แทบจะไม่ได้ออกกำลังกายเลย แต่ก็มีเดินมีสอนมวยบ้างนิดหน่อย

ฝากถึงแฟนคลับ และแฟนมวยไทย

ฝากกันช่วยติดตามผม และค่ายมวยสามารถพยัคฆ์อรุณยิม ใครสนใจก็เข้มาเรียนกันได้นะครับ เราสอนตั้งแต่เบสิคเลยจนต้องเป็นเทคนิคขั้นสูงสุด ส่วนงานละครผมก็มีอยู่ถ่ายทำอยู่ 2 ละครเรื่องคือ ทะเลเดือด และ แด่คุณพ่อด้วยแข้งขวา ซึ่งแสดงเป็นตัวละครเกี่ยวกับมวยไทยด้วยครับ ก็ฝากทุกคนติดตามด้วยครับ

เรื่องราวชีวิต และมุมมองของ  “พยัคฆ์หน้าหยก” สามารถ พยัคฆ์อรุณ ถือเป็นเสียงสะท้อนจากตำนานยอดมวยอัจริยะที่แสดงความคิดเห็นต่อวงการมวยไทยได้อย่างน่าสนใจตามแบบฉบับตัวเองที่เป็นคนหน้าร้ายใจดีสมกับฉายา ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเสียงจากคนมวยที่ออกมาแสดงความห่วงใยต่อวงการมวยในปัจจุบัน

“พยัคฆ์หน้าหยก” สามารถ พยัคฆ์อรุณ

– ชื่อจริง สามารถ ทิพย์ท่าไม้

– วันเกิด วันที่ 5 ธันวาคม 2505

– ชาวบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา

– มวยไทย แชมป์ลุมพินี 4 รุ่น ประกอบด้วย

รุ่นพินเวท (105 ปอนด์)

รุ่นจูเนียร์ฟลายเวท (108 ปอนด์)

รุ่นจูเนียร์แบนตั้มเวท (115 ปอนด์)

รุ่นเฟเธอร์เวท (126 ปอนด์)

– มวยสากลอาชีพ แชมป์รุ่นซุปเปอร์แบนตั้มเวท (122 ปอนด์) สภามวยโลก (ดับเบิลยูบีซี) 2 สมัย

– สถิติการชก 23 ไฟต์ ชนะ 21 ครั้ง (ชนะน็อก 12 ครั้ง) แพ้ 2 ครั้ง (แพ้น็อก 2 ครั้ง)

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image