Indian Food Wala (อินเดียนฟู้ด วาลา) ร้านอินเดียแท้ๆ เน้นซีฟู้ดไม่เหมือนใคร โดย ปิ่นโตเถาเล็ก

จากการแนะนำของนักรีวิวอาหารตัวยง ทั้งน้องบุ๊ง closetoheavens.com และน้องวัฒน์ ชายกางตระเวนกินทั่วถิ่นไทย ทำให้ได้พบร้านอาหารอินเดียถูกใจ เมนูอลังการไม่เหมือนใคร เน้นซีฟู้ดสดใหญ่ไซซ์บิ๊กเบิ้มรสชาติอินเดียแท้ๆ สาขาที่ 5 น้องใหม่ในเครือมีชื่อว่า Indian Food Wala (อินเดียนฟู้ด วาลา)

อินเดียนฟู้ดเป็นของสาวคนเก่งชาวใต้จากเมืองคอน ชื่อว่าน้องตา เสาวลี แก้วคงจันทร์ (บ้านนี้สมัยก่อนเคยเป็นลูกศิษย์วัดราชาธิวาส มีโอกาสลิ้มลองของอร่อยที่คุณชายถนัดศรีเลี้ยงพระทั้งวัดเนื่องในวันเกิดทุกปีด้วย) แต่งงานกับเชฟชาวอินเดีย คุณราจูน (Rajendra Petwal) ทำร้านอินเดียมานาน 10 ปี เริ่มจาก Indian Food (17) อยู่ใกล้ปากซอยเจริญนคร 17 จากนั้นก็เปิดสาขาเพิ่มที่ ถนนสวนพลู ที่เพชรเกษม 15 และที่ใกล้เดอะมอลล์งามวงศ์วาน (ปาก ซ.22) ส่วนสาขาที่ 5 ล่าสุดนั้นอยู่ใกล้ ปากซอยเจริญนคร 16 ใครนำรถมา จากถนนสาทรพอข้ามสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน ให้วนซ้ายมาออกตรง สามแยกแดงเข้าถนนเจริญนคร แล้วจอดรถที่โครงการ เสนาเฟสท์ (Sena Fest) ตรงสามแยกนี้เลย (ฟรี 3 ชั่วโมง) จากนั้นเดินออกประตูฝั่ง KFC เลี้ยวซ้ายไปตามถนนเจริญนครแค่อึดใจเดียวก็จะเห็นร้าน Indian Food Wala (อินเดียน ฟู้ด วาลา) อยู่ในตึกแถว 2 คูหาสีเขียวสดใส

เอกลักษณ์ของอินเดียนฟู้ดคือ มีเมนูอินเดียที่ใช้ของทะเลสดๆ จากภาคใต้ในราคามิตรภาพ เช่น กุ้งลายเสือตัวโตๆจากระนอง ปู ไข่ปู หมึก ตกจากนครศรีธรรมราช ข่าวดีคือตอนนี้มีเมนูซีฟู้ดอินเดียให้กินครบ ทั้ง 5 สาขาตามเสียงเรียกร้องแล้ว

Advertisement

เมนูร้านนี้ที่ผมชื่นชอบมากที่สุดคือ แกงมัทราส กุ้งลายเสือ (Prawn Madras) (280 บาท) มีรสมีชาติเผ็ดหอมด้วยพริกแห้งทอด ตัวซอสมัทราสมีรสเค็มอมเปรี้ยวด้วยมะเขือเทศ และโยเกิร์ต หอมเครื่องเทศ แต่ไม่แรงเกินไป ปรุงด้วยกะทิเพิ่ม ใช้กุ้งลายเสือเนื้อแน่นสดตัวใหญ่มโหฬาร (ถ้าตัวเล็กกว่าก็ให้ 2 ตัว) ใหญ่กว่าฝ่ามือกินได้เต็มปากเต็มคำ มัทราสนั้นคือชื่อเมืองเดิมของเมืองเจนไนในปัจจุบัน อยู่ทางตอนใต้ของอินเดีย
สำหรับคนที่ไม่กินเผ็ดมากให้สั่ง กุ้งลายเสือผัดซอสโยเกิร์ต (Prawn Boti) (380 บาท) โดยจะผัดแห้งๆ ใส่มะเขือเทศสด ราดโยเกิร์ตพอคลุกเคล้า ใช้กุ้งลายเสือตัวโตทอดพอเนื้อเด้งก่อน ผัดจนหอมเครื่องเทศ และหญ้าฝรั่ง รสจะเผ็ดน้อยกว่าและออกเค็ม ไม่เปรี้ยวเท่าแกงมัทราส

แกงมัทราส กุ้งลายเสือ(Prawn Madras) ห้ามพลาด

มีเมนูซึ่งไม่เคยกินที่ไหนมาก่อนถูกใจมากๆ คือ เมนูอินเดียชายฝั่งทะเล หอยลายผัดซอสกะหรี่ (Clam curry) (180 บาท) หอยลายตัวโตๆ ผัดสดๆ ก่อนให้เปลือกหอยอ้า และผัดกับซอสแกงกะหรี่ ผสมเครื่องเทศอินเดียกับซอสมะเขือเทศให้ซอสพอขลุกขลิก ใส่ใบโหระพาลงไป รสชาติ เข้มข้นเผ็ดร้อนหอมเครื่องเทศอร่อยกว่าผัดหอยลายบ้านเราอีก อีกเมนูทะเลที่ไม่เหมือนใครคือ แกงกะหรี่หมึก (Squid Curry) (190 บาท) สูตรเดียวกับผัดหอยลายแต่ใส่เครื่องเทศน้อยกว่า ใส่หมึกทั้งตัวยัดไส้ด้วยไก่บดที่หมักเครื่องเทศแล้ว หมึกสดเด้งถูกใจ

ส่วนแกงที่ไม่ใช่ของทะเล ถ้าชอบครีมๆ และไม่มีกลิ่นเครื่องเทศมาก ให้สั่ง แกงไก่ครีมสีขาว (Chicken Methi Malai) (180 บาท) เมธี (Methi) ของอินเดียนั้นคนไทยเรียกว่าลูกซัด ให้ความหอม แกงนี้รสชาติออกครีมๆ ซึ่งปั่นกับเม็ดมะม่วงหิมพานต์บด และใส่เนื้อไก่เป็นชิ้นๆ หรือติกก้า (Tikka) เคี่ยวจนข้นคลั่ก เหมาะสำหรับมือใหม่หัดชิมอาหารอินเดีย และที่ขาดไม่ได้คือ บัตเตอร์ชิคเก้น (Butter Chicken) (180 บาท) คือ แกงเบสิกมาตรฐานอีกอย่างที่กินง่ายๆ ครีมๆ ผสมกับมะเขือเทศลูกแดงอร่ามที่นำมาเคี่ยวก่อนจนน้ำในมะเขือเทศแตกออกมา ใส่เนยใส (Ghee) และเนื้ออกไก่ที่นุ่มมากๆ ซึ่งจะหมักโยเกิร์ต น้ำมันมะพร้าว Madras และเครื่องเทศ ย่างเตรียมไว้ก่อนตอนเช้า

Advertisement
แกงไก่ครีมสีขาว(Chicken Methi Malai)

ต่อด้วย แกงแกะสับ (Mutton Keema Matar) (260 บาท) หอมๆ ผัดอย่างขลุกขลิกใส่ถั่วลันเตา ขิง กระเทียม พริกขี้หนูให้มีรสเผ็ดเล็กน้อย ตัวเครื่องเทศช่วยดับกลิ่นสาบของแกะจนกินได้สนิทใจ ใครไม่ชอบกินแกะจะไม่มีทางรู้เลย

นอกจากนี้ ยังมีแกงอินเดียที่ไม่ใส่เนื้อสัตว์ เช่น แกงมาซาล่ากระเจี๊ยบ (Bhindi Masala) (130 บาท) ใช้หอมแขกผสมหัวหอมไทย ผัดกับมะเขือเทศสด ใส่ขมิ้น และเครื่องเทศบด ลักษณะเป็นผัดแห้งๆ มากกว่า กระเจี๊ยบสีเขียวสดไม่มียางให้เสียอารมณ์ และมี แกงผักโขมใส่ชีส (Palak Paneer) (160 บาท) สีแกงจึงออกเขียวๆ ใส่คอทเทจชีสของอินเดียเป็นชิ้นๆ ที่เรียกว่าปะนีร์ (Paneer) อีกทั้งเมนูชีส ปะนีร์บูรจิ (Paneer Bhurji) (180 บาท) ทำจากคอทเทจชีสบด ผัดกับหอม มะเขือเทศ พริกหวานและเครื่องเทศต่างๆ ถูกใจคนรักชีส และแกงกุรุหม่าชีสปะนีร์ (Paneer Korma) (170 บาท) ใส่มะเขือเทศปั่นกับเม็ดมะม่วงหิมพานต์ และเม็ดแตงโม อีกทั้งเมนู มะเขือม่วง (Baingan bharta) (130 บาท) เผาลอกเปลือกแล้วสับ ผัดกับหัวหอม พริกหวานและเครื่องเทศ ต้องสั่งแป้งนาน (Naan) หนาๆ นุ่มเหนียวมาจิ้มกินกับแกง มีให้เลือกหลายอย่าง ที่ขาดไม่ได้คือ นานกระเทียม (Garlic Naan) (55 บาท) แผ่นโตๆ และคนชอบพิซซ่าให้สั่ง นานชีสมอซซาเรลลา (Mozzarella cheese naan) (100 บาท) เวลาฉีกแป้งจะเห็นชีสยืดๆ ชัดเจน

แกงกระเจี๊ยบ

นอกจากนานซึ่งเป็นแป้งอบในเตาทันดูร์แล้ว ยังมี ลัชชา พาราธา (Lachha paratha) (65 บาท) แผ่นแป้งซึ่งได้จากการทอด ตัวแป้งเป็นเส้นวนกลมๆ เหมือนวงแหวน ฉีกออกได้ง่าย และมี ปุริ (Puri) (50 บาท) ทอดน้ำมันท่วมๆ จนเป็นก้อนทรงกลมโตข้างในเป็นโพรง กินตอนร้อนๆ ยิ่งอร่อย
ส่วนข้าวมีหลากหลาย มีเมนูรับรองว่าไม่เหมือนร้านไหน สไตล์จีนผสมอินเดียคือ ข้าวผัดวาลาใส่ไข่ปู (Wala fried rice) (250 บาท )ใช้ข้าวบาสมาติเมล็ดยาวเรียวของอินเดีย ผัดกับซอสที่เตรียมไว้ทำจากขิง หอม มะเขือเทศ พริกแห้ง และมะขามเปียก ออกแนวน้ำพริกเผา ผัดได้เมล็ดร่วนหอมมาก ได้เคี้ยวไข่ปูหอมมัน มือใหม่หัดชิมอาหารอินเดียคงชอบเมนูนี้มากๆ

ลัชชา พาราธา(Lachha paratha)

ถ้าต้องการกลิ่นอายอินเดียแท้ๆ (ไม่ใช่แนวตะวันออกกลาง) ก็ให้สั่ง ข้าวหมกแกะ (Mutton Biryani) (220 บาท) พอใครสั่งก็ผัดเลย หอมกลิ่นเครื่องเทศเบาๆ ไม่แรงเกินไป อยากให้ใส่ไก่ กุ้งตัวโตๆ หมึก ปลาจะละเม็ดขาว (ถ้าสาขาอื่นจะใช้ปลากะพง) หรือทะเลรวมก็มีให้เลือกทั้งนั้น
พวกของย่างในเตาทันดูร์ และเมนูเนื้อสัตว์ก็มีให้เลือกมากมายเช่นกัน เช่น ไก่ย่างทันดูร์ (Chicken Tandoori) (220 บาท) เนื้อสะโพกและน่องนุ่มๆ จานโต หมักเครื่องเทศ ย่างในเตารูปโอ่งจนหอมมีสีส้มอมแดง ถ้าชอบรสชาตินุ่มนวลไม่เผ็ด ให้สั่ง ไก่ย่างเม็ดมะม่วงหิมพานต์ (Chicken Malai Kabab) (260 บาท) เป็นเนื้ออกไก่ที่นุ่มมากๆ หมักกับโยเกิร์ต และเม็ดมะม่วงหิมพานต์

ข้าวหมกแกะ(Mutton Biryani)

และอีกเมนูไก่มีรสมีชาติชื่อว่า ไก่ผัดซิกตี้ไฟฟ์ (Chicken 65) (200 บาท) สไตล์เมืองเจนไน ไก่เนื้อนุ่มชุบแป้งทอดผสมขิง กระเทียม ผัดกับเครื่องเทศ ใส่ยอดหมุยของทางใต้ (ที่อินเดียก็มี) และหญ้าฝรั่น จานนี้ไก่รสจัดๆ ถูกใจและเผ็ดพอตัว เพราะใส่พริกขี้หนูสดด้วย

ส่วนเครื่องดื่มอินเดียของโปรด ลาสซี ทำจากผลไม้ปั่นผสมโยเกิร์ต ก็มีให้เลือกมากมาย ให้ลอง ลาสซีมะม่วง (Mango Lassi) (60 บาท) รวมทั้ง ลาสซี (Lassi) ดั้งเดิมทั้งรสหวานและเค็ม (60 บาท)
ปิดท้ายด้วยของกินเล่น กระเจี๊ยบทอด (Bhindi Fries) (140 บาท) ฝานเป็นเส้นๆ ชุบแป้งทอด หอมเครื่องเทศไม่แรงเกินไป กินเพลินมาก และมี ซาโมซาไส้ผัก (Vegetable Samosa) (70 บาท) แป้งกรอบชิ้นโตๆ อีกด้วย

นานกระเทียม(Garlic Naan)
ลาสซีมะม่วง(Mango Lassi) และลาสซีรสเค็ม
ไก่ผัดซิกตี้ไฟฟ์(Chicken 65)
แกงกุรุหม่าชีสปะนีร์(Paneer Korma)
บัตเตอร์ชิคเก้น(Butter Chicken)
ข้าวผัดวาลาใส่ไข่ปู(Wala fried rice)

ร้านอินเดียนฟู้ดในยามปกติจะเปิดบริการ 10 โมงครึ่งถึง 5 ทุ่มทุกวัน สนใจอยากสั่งซื้อกลับบ้านให้โทรไปที่ 09-4923-1110 (สาขาเจริญนคร 16) หรือที่เบอร์กลาง 08-7021-2203 สำหรับทุกสาขานะจ๊ะ นี่คือสวรรค์ของคนชอบอาหารทะเล และอาหารอินเดียจริงแท้แน่นอน

Indian Food Wala
สาขาปากซอยเจริญนคร 16
โดย คุณเสาวลี (ตา) แก้วคงจันทร์
ที่ตั้ง 516-518 ถนนเจริญนคร คลองต้นไทร คลองสาน กรุงเทพฯ 10600
โทร 09-4923-1110 (สาขาเจริญนคร 16) 08-7021-2203 (เบอร์กลางทุกสาขา)
เปิดบริการ 10.30-23.00 น.ทุกวัน
แนะนำ แกงมัทราสกุ้งลายเสือ (Prawn Madras) กุ้งลายเสือผัดซอสโยเกิร์ต (Prawn Boti) หอยลายผัดซอสกะหรี่ (Clam curry) แกงกะหรี่หมึก (Squid Curry) แกงไก่ครีมสีขาว (Chicken Methi Malai) บัตเตอร์ชิคเก้น (Butter Chicken) นานกระเทียม (Garlic Naan) นานชีสมอซซาเรลลา (Mozzarella cheese naan) ลัชชา พาราธา (Lachha paratha) ข้าวผัดวาลาใส่ไข่ปู (Wala fried rice) ไก่ผัดซิกตี้ไฟฟ์ (Chicken 65) แกงแกะสับ (Mutton Keema Matar) แกงมาซาล่ากระเจี๊ยบ (Bhindi Masala) แกงผักโขมใส่ชีส (Palak Paneer) ปะนีร์บูรจิ (Paneer Bhurji) แกงกุรุหม่าชีสปะนีร์ (Paneer Korma) เมนูมะเขือม่วง (Baingan bharta) ข้าวหมกแกะ (Mutton Biryani) ไก่ย่างทันดูร์ (Chicken Tandoori) ไก่ย่างเม็ดมะม่วงหิมพานต์ (Chicken Malai Kabab) ลาสซีมะม่วง ลาสซีรสเค็ม กระเจี๊ยบทอด (Bhindi Fries) ซาโมซาไส้ผัก (Vegetable Samosa)

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image