ผู้เขียน | ทีมข่าวเฉพาะกิจ |
---|
ถกสนั่น‘คนไร้บ้าน’กลางสภา‘กทม.’ ต้องแก้ไขด้วย‘ความเป็นมนุษย์อย่างที่สุด’
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘คนไร้บ้าน’ คือหนึ่งในปมปัญหาสำคัญของกรุงเทพมหานคร
ทว่า การแก้ไขย่อมต้องเป็นไปด้วยทัศนคติที่ไม่อาจหลงลืมคำว่า ‘ความเป็นมนุษย์’
19 ตุลาคมที่ผ่านมา ณ อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (ดินแดง) ในการร่วมประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่ 4 ครั้งที่ 3 ประจำปีพุทธศักราช 2565 ประเด็นดังกล่าวถูกนำเสนอผ่านญัตติเรื่อง ‘ขอให้กรุงเทพมหานครแก้ไขปัญหาคนเร่ร่อนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร’ โดย ศศิธร ประสิทธิ์พรอุดม ส.ก.เขตพระนคร พรรคก้าวไกล ร่วมด้วย ส.ก.อีกหลายรายที่ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง
เขตพระนคร ย่านฮิตคนไร้บ้าน ส.ก.เขต เสนอปรับ ‘บ้านอิ่มใจ’ เล็กลง ทั่วถึงมากขึ้น
ศศิธร ส.ก.เขตพระนคร เจ้าของญัตติ เผยว่า ปัญหานี้เรื้อรังอย่างยาวนาน และส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนในทุกเขต
“เขตพระนคร นอกจากมีพระบรมมหาราชวัง มีวัดอารามหลวง มีของกินที่อร่อย สิ่งหนึ่งถ้ามาเขตพระนครแล้วต้องพบเจอ คือคนไร้ที่พึ่ง ไม่ว่าจะอยู่ตามถนนราชดำเนินกลาง ถนนอัษฎางค์ ถนนดินสอ ใต้สะพานพระราม 8 ตรอกสาเก และปัจจุบันนี้ได้ลามไปถึงถนนพาหุรัด ถนนบางลำพู ย่านปากคลองตลาด เรียกง่ายๆ ว่าครอบคลุมพื้นที่เขตพระนครเกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ โดยสาเหตุหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นให้คนไร้ที่พึ่งมาอยู่ที่เขตพระนครจำนวนมาก คือการแจกอาหาร แจกน้ำจากผู้ใจบุญ ซึ่งนอกเหนือจากการให้คนเหล่านี้อิ่มท้องแล้ว ยังเป็นการสร้างรายได้ให้เขาอีก” ศศิธรกล่าว ก่อนเปิดตัวเลขคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ.2565 จากการสำรวจของสำนักพัฒนาสังคม ทั้ง กทม. 1,656 คน เพศชาย 1,416 คน เพศหญิง 240 คน โดย เขตพระนครมีคนไร้ที่พึ่งมากที่สุดถึง 400 คน รองลงมาเป็นเขตคลองเตย เขตปทุมวัน เขตจตุจักร และเขตราชเทวี
ศศิธรแนะให้สังเกตด้วยว่ามีคนไร้ที่พึ่งบางคนขอข้าว 3 กล่อง ขอน้ำ 4-5 ขวด สร้างรายได้โดยการไปขายให้พ่อค้าแม่ค้า จึงกลายเป็นคนไร้ที่พึ่งถาวร นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องความสกปรก เพราะนอกจากหลับนอนหน้าบ้าน ร้านค้า ตึก แล้วยังอุจจาระ ปัสสาวะ ทิ้งสิ่งของส่วนตัวรวมถึงมีขวดเหล้าขวดสุรา และทิ้งเศษอาหาร รวมถึงพลาสติกลงในท่อระบายน้ำ ไม่เพียงกระทบประชาชนทั่วไป แต่รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย
“พระนครเป็นเขตชั้นใน สร้างรายได้มากมายให้กรุงเทพมหานคร แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเขตที่ไม่มีความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเลย” ศศิธรกล่าว
ประเด็นต่อมา ส.ก.เขตพระนครเล่าว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทศกิจว่าคนไร้บ้านมีการพกอาวุธด้วย เวลาเจ้าหน้าที่ไปจัดระเบียบ คนไร้บ้านบางท่านมีมีดสปาร์ตาซ่อนไว้ใต้หมอน ทำให้เจ้าหน้าที่เทศกิจ
ต้องถอยออกมาก่อน และต้องรอ สน.ท้องที่เข้ามาร่วมปฏิบัติภารกิจ
“คนไร้บ้านหรือคนไร้ที่พึ่ง มีทั้งหมด 2 กลุ่ม คือ 1.คนไร้ที่พึ่งถาวร 2.คนไร้ที่พึ่งหน้าใหม่ สำหรับคนไร้ที่พึ่งถาวร ต่อให้ กทม.สร้างโอกาส สร้างอาชีพ สร้างที่อยู่อาศัย เขาเหล่านี้ก็ยังคงเต็มใจที่จะเป็นคนไร้ที่พึ่งถาวร และใช้พื้นที่สาธารณะเป็นที่หลับนอน ส่วนคนไร้ที่พึ่งหน้าใหม่ ก็คือคนที่อาจประสบปัญหาชีวิตบางจังหวะ อาจจะตกงาน หรืออยู่ระหว่างหางาน แต่ไม่มีเงินในการจ่ายค่าที่อยู่อาศัย
คนไร้บ้านถาวร เราอาจแก้ปัญหาเหล่านี้โดยการจำกัดพื้นที่ให้อยู่ในพื้นที่ที่ควรอยู่ ไม่ควรใช้พื้นที่สาธารณะ ส่วนคนไร้ที่พึ่งหน้าใหม่ เราจะทำอย่างไรให้เขากลับไปสู่สังคมปกติโดยเร็ว เพราะไม่อย่างนั้นอีกหน่อยก็จะกลายเป็นคนไร้ที่พึ่งถาวร เริ่มคุ้นชินกับสภาพที่เป็นอยู่ เริ่มไม่อยากกลับเป็นคนปกติ” ศศิธรชี้ พร้อมเสนอให้ กทม.เป็นแม่งานในการบูรณาการร่วมงานกับกระทรวง พม. สำนักงานเขต เจ้าหน้าที่เทศกิจ สน.ท้องที่ และรวมถึงเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงนำ ‘บ้านอิ่มใจ’ กลับมา โดยการปรับรูปแบบให้ขนาดเล็กลง มีมากขึ้น ทั่วถึงมากขึ้น โดยเฉพาะเขตชั้นใน อยู่ใกล้แหล่งงาน เพื่อลดปัญหาคนไร้ที่พึ่งหน้าใหม่ให้มีที่อยู่อาศัย ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง อีกทั้งเพิ่มความปลอดภัยให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทศกิจที่ออกตรวจช่วงกลางคืน ซึ่งเป็นด่านแรกในการจัดระเบียบคนไร้ที่พึ่ง
ลาดกระบัง ยังแก้ไม่ตก ย้ายจุดหนี ไม่ชินที่อยู่ใหม่
สุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา หรือ ดร.จอห์น ส.ก.เขตลาดกระบัง พรรคเพื่อไทย ร่วมอภิปรายพร้อมฉายสไลด์ในประเด็นดังกล่าว ความว่า ปัญหาคนเร่ร่อนเป็นปัญหาใหญ่ แก้ไม่ตก เทศกิจรวมถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนา ลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่าสุดท้ายคนไร้บ้านก็ย้ายจากจุดหนึ่งมาอีกจุดหนึ่ง ระยะทางห่างกันประมาณ 15 เมตร
“คนไร้บ้านกล่าวว่า ผมอยู่ตรงนี้ผมสบายดี ผมไม่เดือดร้อนอะไร ผมไม่อยากได้รับความช่วยเหลือ ซึ่งในความคิดของเขา เขาไม่ต้องการความช่วยเหลือ และไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ถ้าเขาไม่ยินยอม เราไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะกฎหมายไม่มีการบังคับ สิ่งที่ทำได้คือการเกลี้ยกล่อมให้ทำสัญญา แล้วพอได้บ้านพักชั่วคราว ซึ่งกลุ่มคนเร่ร่อนไม่ชินกับสถานที่ใหม่ เพราะไม่มีความเป็นอิสระ ก็หนีออกมา
ท้ายที่สุด ถ้าโชคดีหน่อย ที่กลุ่มคนเหล่านั้นเป็นคนต่างจังหวัด เจ้าหน้าที่ก็จะนำตัวกลับไปส่งยังต่างจังหวัดโดยติดต่อญาติ ซึ่งถ้าเขาคุ้นชินกับสถานที่ ก็อยู่ได้ แต่ถ้าไม่คุ้นชินเขาก็หนีออกมาอีก ซึ่งการหนีออกมาก็คือการกลับมาที่เดิม หรือการไปตั้งรกรากในจังหวัดอื่นๆ
เมื่อสักครู่ได้รับรายงานจากทีมงานว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนา เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทศกิจ เจ้าหน้าที่ศูนย์คนไร้ที่พึ่ง กทม. และเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ลงพื้นที่เยี่ยมคนไร้บ้านที่ผมได้ยกตัวอย่างในสไลด์ไป บริเวณไฟแดง ถนนร่มเกล้า เจ้าหน้าที่ได้สอบถามเพื่อให้เข้าไปอยู่ในบ้านพักคนเร่ร่อน แต่เขาไม่ประสงค์ที่จะเข้าไปอยู่” ดร.จอห์น
กล่าว
ฉากย้อนแย้งแหล่งธุรกิจ ขอทาน-เช็ดกระจก สุขุมวิท-ทองหล่อ
สัณห์สิทธิ์ เนาถาวร ส.ก.เขตวัฒนา ร่วมอภิปรายว่า เขตวัฒนาปัจจุบันกำลังเป็นที่หมายปองของชาวไทยและชาวต่างชาติ มีโรงแรมมากมาย มีออฟฟิศที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่แทนสีลมเยอะพอสมควร เรามีห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ถนนฟุตปาธทางเท้าก็เริ่มจะดีเข้ารูปเข้ารอยแล้ว โดยเฉพาะตั้งแต่ต้น สุขุมวิทซอย 3 ถึงแยกอโศก เรื่อยมาจนถึงซอยทองหล่อ มีพัฒนาการที่ดีด้วยงบประมาณของกรุงเทพมหานคร จัดทำฟุตปาธได้ดี ต้องชมเชย อย่างไรก็ตาม ยังมีภาพประกอบฉากไม่น่าดู คือ คนไร้บ้าน
“นอกจากฟุตปาธที่สวย โรงแรมที่ดี เรามีภาพที่ประกอบฉากอยู่ซึ่งไม่น่าดูเท่าไหร่ นั่นคือผู้เร่ร่อน ซึ่งไม่ได้เกิดที่เขตพระนครที่เดียว ไม่ได้เกิดที่เขตลาดกระบังที่เดียว มีในเขตของผมด้วย ซึ่งมันเกิดได้ทุกที่แม้กระทั่งสุขุมวิทที่เป็นชั้นใน มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินอยู่ทุกวันนับพันคนต่อวัน ยิ่งใกล้สิ้นปีอากาศยิ่งดี ยิ่งมาเยอะ ผมไปสังเกตแทบทุกคืน เพราะต้องขับรถผ่านสิ่งที่เห็นคือ ผู้เร่ร่อน กลุ่มเปราะบาง แม้กระทั่งเด็กเล็กแบเบาะ จนถึงระดับผู้ใหญ่คนพิการ ผมได้รับเรื่องร้องเรียนมากมายจาก Messenger ส่วนตัว ไลน์ส่วนตัว เช่น เวลาจอดรถก็มีคนมาเช็ดกระจก มีคนมาขอทาน ซึ่งคนที่มาร้องเรียนกับผม ได้ร้องเรียนไปยังทราฟฟี่ฟองดูว์แล้ว ซึ่งได้ร้องเรียนไปยังเทศกิจที่เต็นท์อยู่บริเวณนั้น แล้วได้คำตอบว่า ต้องไปติดต่อ พม. ต้องไปร้องเรียนกับ สน.” ส.ก.เขตวัฒนาเผย
จากนั้น เล่าต่อไปว่า หลังจากร้องเรียนสักพักเรื่องก็ไม่จบ ประชาชนต้องหันไปพึ่ง ‘มูลนิธิเส้นด้าย’ ที่มีการจัดการวางแผนกับ พม. และ สน.ท้องที่ เพื่อทำการหาข้อมูล และรวบตัวหัวหน้าในคืนวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา โดยเริ่มปฏิบัติการตั้งแต่ก่อน 21.00 น. ไปจบที่เกือบ 23.00 น. ส่วนตัวเคยถามกับ ผอ.เขต ว่ามีนโยบาย วิธีการสำหรับจัดการ รับมืออย่างไร ได้รับคำตอบว่า ต้องประสานกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ซึ่งเมื่อตนได้ร่วมลงพื้นที่กับมูลนิธิ พม. และ สน. ก็ได้เจอตัวการที่เข้าใจว่าแฝงตัวอยู่ในซอยคาวบอย ซึ่งเป็นแหล่งอิทธิพลพอสมควร ประชาชนทั่วไป หรือมูลนิธิเส้นด้ายก็อาจเกินกำลังในการเข้าไปเช่นกัน
รองผู้ว่าฯ ฮุกหมัดถามมุมกลับ สังคมแบบไหน? ทำคนไร้บ้านเต็มเมือง
ในช่วงท้าย ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าฯกทม. ลุกขึ้นไขปม โดยรับว่า คนไร้บ้านเป็นปัญหาสำคัญ กทม.ได้รับการร้องเรียนผ่านแอพพ์ ‘ทราฟฟี่ฟองดูว์’ 389 เคส ซึ่งหากเดินตามเขตต่างๆ ก็จะเห็นปัญหานี้ อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถแก้ปัญหาโดยการมองว่าคนไร้บ้านเป็นปัญหาของปัจเจก หรือตัวบุคคลได้
“ความจริงแล้วทางกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็นหน่วยงานหลักในการทำ จาก พ.ร.บ.การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ปี 2557 ทาง พม.มีศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งในพื้นที่ กทม.และสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 11 แห่งทั่วประเทศ แต่ กทม.ก็มีหน้าที่สำคัญในการเป็นเจ้าภาพในการดูแล จึงมีการประชุมร่วมกับ พม. รวมถึงมูลนิธิ และผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ในการแก้ปัญหา
“ผมคิดว่าคนไร้บ้านไม่สามารถแก้ปัญหาโดยการมองว่าคนไร้บ้านเป็นปัญหาของปัจเจก หรือตัวบุคคลได้ คำถามคือว่าสังคมแบบไหนที่ทำให้เกิดคนไร้บ้านเต็มเมืองแบบนี้ ซึ่งสิ่งที่เราพยายามทำคือการมองความเป็นมนุษย์ของคนไร้บ้าน และพยายามที่จะมองว่าเราจะแก้ปัญหาอย่างไรที่เป็นองค์รวมที่สุด
เราจึงจัดทำแนวทางโดยขั้นแรก เราทำฐานข้อมูลก่อน เรามีข้อมูลล่าสุดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีคนไร้บ้าน 1,656 คน ถ้าแบ่งแล้วมี 5% หรือ 83 คน ที่เป็นผู้ป่วยจิตเวช และอีก 95% หรือ 1,573 คน เป็นคนไร้บ้านที่พัฒนากลับมาให้เขามีบ้านและกลับไปสู่ภาวะปกติได้ ซึ่งใน 1,573 คน เป็นคนไร้บ้านหน้าใหม่อยู่ประมาณ 80% ตกราว 1,400 คน
“คนไร้บ้านหน้าใหม่ คือคนไร้บ้านที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจ หรืออาจเกิดจากภาวะความเป็นอยู่ทางบ้าน ปัจจุบันเราจึงทำแนวทางที่ 2 คือ การทวงคืนพื้นที่สวัสดิการ ปัญหาบ้านอิ่มใจแต่ก่อน คือต้องสมัครเข้าไปที่บ้านก่อนถึงจะได้สวัสดิการ การให้เขาเข้าไปที่บ้านก่อน บางครั้งคนไร้บ้านบางส่วนไม่ได้รู้สึกสบายใจที่จะเข้าไปที่บ้าน แต่บางครั้งเขาอาจอยากได้สวัสดิการก่อน กทม.จึงจัดตั้งพื้นที่สวัสดิการหรือเรียกว่า จุดดร็อปอิน เพื่อที่จะดูแลสวัสดิการเบื้องต้นของคนไร้บ้าน โดยเฉพาะกลุ่มหน้าใหม่นี้ก่อน โดยปัจจุบันนี้เราจัดตั้ง จุดดร็อปอิน 4 แห่ง แห่งที่ 1 คือเขตพระนคร บริเวณ ใต้สะพานพระปิ่นเกล้า ตรงนี้แต่เดิมเราให้บริการจันทร์-ศุกร์ แต่ปัจจุบันเราขยายเป็นทุกวัน 7 วันต่อสัปดาห์ ตั้งแต่ 08.00-17.00 น. มีจุดแจกอาหาร” รองผู้ว่าฯศานนท์เผยข้อมูล โดยย้ำว่า นอกจากนี้ ยังมีบริการอื่น เช่น ลงทะเบียนบัตรประชาชน จุดสาธารณสุข มีทางสำนักอนามัยตั้งบูธดูแลเรื่องสุขภาพ และที่สำคัญคือ มีจุดบริการเรื่องอาชีพเรื่องงาน ถ้าอยากกลับเข้าสู่ระบบ อยากมีงานทำก็มีจุดลงทะเบียนงาน
จุดที่ 2 คือ ตรอกสาเก ซึ่งร่วมกับ ‘มูลนิธิอิสรชน’ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทำเรื่องนี้มานาน เปิดวันอังคาร จุดที่ 3 คือ โซน หัวลำโพง เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เป็นจุดที่ดูแลทุกวันพุธ และจุดที่ 4 ถนนราชดำเนิน บริเวณอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา แยกคอกวัว อย่างไรก็ตาม กำลังยุบไปรวมที่จุดใต้สะพานพระปิ่นเกล้า
“ปัญหาเรื่องของการแจกอาหาร ปัจจุบันเราทำการประชาสัมพันธ์ไปแล้ว ให้ผู้มีใจบุญจิตสาธารณะทุกท่านให้ไปบริจาคในที่เดียวที่สะพานพระปิ่นเกล้า เพราะการบริจาคที่อื่น ทางคนไร้บ้านจะไม่ได้สวัสดิการอื่น แต่ถ้าไปบริจาคที่ใต้สะพานพระปิ่นเกล้า เรื่องการตรวจสุขภาพ อาชีพ การซักผ้า อาบน้ำ คนไร้บ้านก็จะได้รับบริการครบ…มากกว่านั้นก็ได้รับความช่วยเหลือจากบริษัทเอกชนหลายเจ้าที่มาช่วยเรื่องซัก อบ อาบ คือการซักผ้า รีดผ้าและการอาบน้ำของคนไร้บ้านด้วย ทำให้จุดบริการสวัสดิการเป็นจุดที่สมมุติว่าเราไม่มีทางออก เราไร้ที่พึ่ง เป็นจุดที่จะดูแลสวัสดิการเบื้องต้นให้คนไร้บ้านได้” ศานนท์กล่าว
มาถึงแนวทางที่ 3 รองผู้ว่าฯเล่าว่า มีการทำบ้านที่พักอาศัยระยะผ่านร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพหรือ สสส. เรียกว่าโครงการ ‘บ้านคนละครึ่ง’ ปัจจุบันได้เปิดเฟสที่ 3 ไปแล้ว โดยมีคนไร้บ้านมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่อยู่อาศัยของศูนย์คนไร้บ้านสุวิทย์ วัดหนู เขตบางกอกน้อย และศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งบ้านมิตรไมตรี 4 แห่ง เป็นการบูรณาการร่วมกับการมูลนิธิและกระทรวง พม.ด้วย
“ผมเชื่อว่าการแก้ปัญหาคนไร้บ้าน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมององค์รวม และใช้หลักเกณฑ์ของความเป็นมนุษย์อย่างที่สุด ไม่ได้โทษไปที่ปัจเจกบุคคล ว่าเราจะทำอย่างไรเพื่อดูแลสวัสดิการเบื้องต้น และเชื่อเขาที่จะกลับสู่ภาวะปกติ” ศานนท์ปิดท้าย