สุจิตต์ วงษ์เทศ : เชื้อชาติไทย ไม่มีจริง สิ่งเพิ่งสร้างยุคอาณานิคม

(ซ้าย) ประวัติศาสตร์ชาติไทย (พิมพ์ พ.ศ. 2558) ต้องทบทวนใหม่ (ขวา) ชนชาติไทย เชื้อชาติไทย อพยพถอนรากถอนโคนจากเทือกเขาอัลไต ถูกสร้างใหม่ตามแนวคิดแบบอาณานิคม แม้ยกเลิกแล้วแต่ยังมีอิทธิพลจนปัจจุบัน

ชนชาติไทย เชื้อชาติไทย ไม่เคยมีในโลก และไม่เคยมีในรัฐพูดตระกูลภาษาไต-ไท ไม่ว่าอยุธยา, สุพรรณภูมิ, สุโขทัย, ล้านนา ฯลฯ

กรุงธนบุรี กับ กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นๆ ก็ไม่มีชนชาติไทย เชื้อชาติไทย

ชนชาติไทย เชื้อชาติไทย เพิ่งมีเมื่อรับแนวคิดแบบอาณานิคม ราวหลัง ร.5 หรือหลัง พ.ศ. 2400 จึงเป็นสิ่งเพิ่งสร้าง แล้วถูกครอบงำและกล่อมเกลาให้เชื่ออย่างไม่สงสัย ถ้าใครถามใครเถียงถูกใส่ร้ายป้ายสีว่า “ขายชาติ”

เชื้อชาติไทยไม่มีจริง ได้รับการพิสูจน์แล้วทางวิทยาศาสตร์เป็นที่รับรู้ทั่วโลก และประเทศต่างๆ กำลังปรับตัวยกเลิก ดังข่าวจากฝรั่งเศสที่คัดมาพิมพ์ให้เห็นเป็นหลักฐาน

Advertisement

กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ต้องทบทวนทั้งหมดที่เกี่ยวกับนิยามและคำอธิบาย ทั้งที่เคยทำไว้เพื่อจัดแสดงทั่วประเทศในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และในหนังสือวิชาการ เล่มล่าสุด ประวัติศาสตร์ชาติไทย (พ.ศ. 2558)

เมื่อทบทวนแล้วต้องแบ่งปันเผยแพร่ด้วย อย่าปกปิดทำเงียบๆ เหมือนกรณียกเลิกสุโขทัยราชธานีแห่งแรกของไทยโดยไม่บอกใคร

กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ต้องแก้ไขตำราประวัติศาสตร์ไทยทุกระดับว่าเชื้อชาติไทยไม่มีจริง ต้องยกเลิก และต้องนิยามใหม่ ต้องอธิบายใหม่ทั้งหมด

Advertisement

เหล่านี้ทบทวนใหม่ไม่เสียหาย แต่แสดงความก้าวหน้าวิชาความรู้เสียด้วยซ้ำไป

 

ยุคสมัยและอาณาจักร ไม่มีจริง

แนวคิดแบบอาณานิคมที่ต้องยกเลิกโดยเร็ว ยังตกค้างอยู่ในการเรียนการสอนเกี่ยวกับโบราณคดีและประวัติศาสตร์ศิลปะ ที่ยังมีอำนาจครอบงำประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทย ว่ามียุคสมัยศิลปะกับอาณาจักรต่างๆ ชื่อเดียวกัน ซึ่งไม่เคยมีจริง ได้แก่

ทวารวดี, เจนละ, ศรีวิชัย, หริภุญชัย, สมัยสุโขทัย, สมัยอยุธยา (จากหนังสือ ประวัติศาสตร์ชาติไทย กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรมพิมพ์เผยแพร่ พุทธศักราช 2558)

ชนชาติไทย เชื้อชาติไทย ถูกสร้างให้คลั่งในละครปลุกใจเรื่องอานุภาพพ่อขุนรามคำแหง บทประพันธ์ของหลวงวิจิตรวาทการ แสดงครั้งแรกสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม พ.ศ. 2497

ลูกผสมร้อยพ่อพันแม่

ศรีศักร วัลลิโภดม

“ผู้คนที่เรียกว่าชาวสยามนั้น อาจจะเป็นลูกผสมที่มาจากร้อยพ่อพันแม่ แต่ทว่าสื่อสารกันด้วยภาษาไทย นับถือพุทธศาสนาและอยู่บนผืนแผ่นดินที่เป็นประเทศไทยเดียวกัน”

[จากหนังสือ ไทยน้อย ไทยใหญ่ ไทยสยาม สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2534 หน้า 135]


พิมพ์ครั้งแรก 2559

เชื้อชาติไทยและชนชาติไทย เพิ่งมีสมัย ร.5

นิธิ เอียวศรีวงศ์

“ทฤษฎีเชื้อชาติของฝรั่งซึ่งเข้ามาจัดการสังคมของคนไต-ไท-ลาว ด้วยการสำรวจประชากรภายใต้รัฐอาณานิคมของตน และทำให้โลกทรรศน์ของพวกเขาเปลี่ยนไป โดยเฉพาะชนชั้นนำซึ่งมักได้รับอิทธิพลความคิดฝรั่ง”

นิธิ เอียวศรีวงศ์ บอกไว้ในหนังสือ ความไม่ไทย ของคนไทย (สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2559 หน้า 42-44) แล้วบอกต่อไปอีก โดยสรุปดังนี้

คำ Race มีใช้มาแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 แต่หมายเพียงกลุ่มของอะไรที่เหมือนหรือคล้ายกันเท่านั้นต้นกำเนิดของคำนี้ในภาษาอังกฤษมาจากภาษาฝรั่งเศส และฝรั่งเศสเอามาจากอิตาลี แต่อิตาลีเอามาจากใครก็ไม่รู้ บางท่านสันนิษฐานว่าเอามาจากภาษาอาหรับ

ดูจากกำเนิดและพัฒนาการแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าความหมายใหม่ที่เรียกว่า “เชื้อชาติ” นั้น เป็นความหมายที่ถูกสร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 นี้เอง

ส่วนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การจัดหมวดหมู่คนด้วยแนวคิดเรื่อง “เชื้อชาติ” เพิ่งนำมาใช้ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 หรือถ้าเทียบประวัติศาสตร์ไทย คือหลัง ร.5 ลงมา

นิธิ เอียวศรีวงศ์ ย้ำว่าแนวคิดเรื่อง “เชื้อชาติ” ช่วยสร้างสำนึกอัตลักษณ์ของคนไต-ไท-ไทย-ลาวให้ขยายกว้างขึ้น ไปรวมเอาคนที่สมัยก่อนไม่ได้คิดว่าเกี่ยวพันอะไรกับตัว ให้กลายเป็น “เชื้อชาติ” เดียวกันหมด

“เป็นแรงบันดาลใจให้แก่ทฤษฎี ‘สามัคคีชนเผ่าไทย’ หรือ Pan-Thaiism ของหลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งมีลูกค้าในประเทศไทยสืบมาจนทุกวันนี้แม้เป็นทฤษฎีที่สร้างขึ้นจากข้อมูลทางวิชาการที่เลอะเทอะเต็มทีก็ตาม”


ศ. ดร. เครก เวนเทอร์

เชื้อชาติ (Race) ไม่มีอยู่จริง

และรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสก็ได้ประกาศเช่นนั้น

โกวิท วงศ์สุรวัฒน์

เมื่อปลายเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา รัฐสภาฝรั่งเศสมีมติถอดคำว่า “เชื้อชาติ (Race)” ออกจากกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ โดยใช้คำว่า “เพศ (sex)” แทนที่คำว่า “เชื้อชาติ”

การแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่นี้ยืนยันว่า พลเมืองของฝรั่งเศสมีความเท่าเทียมกัน “โดยไม่คำนึงถึงเพศ แหล่งกำเนิดหรือศาสนา”

ซึ่งกระแสเรียกร้องให้มีการลบคำว่า “เชื้อชาติ” ออกนั้น เกิดขึ้นทั้งจากภายในประเทศฝรั่งเศสเอง รวมถึงดินแดนในอาณัติต่างๆ โดยเฉพาะในแถบมหาสมุทรอินเดียและทะเลแคริบเบียนอีกด้วย——

การจัดหมวดหมู่หรือแบ่งแยกกลุ่มคนจากเชื้อชาติล้วนได้รับอิทธิพลมาจากแนวคิดของนาซีเยอรมันแทบทั้งสิ้นที่เป็นสาเหตุของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่โหดร้ายและสยดสยองในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

การถอดคำว่า “เชื้อชาติ” ออกจากรัฐธรรมนูญ อาจมีส่วนช่วยลดการแบ่งแยกเชื้อชาติ การดูถูกเหยียดหยามและการเลือกปฏิบัติในสังคมได้บ้างไม่มากก็น้อย

อันที่จริง การกำจัดคำว่า เชื้อชาติ หรือ Race ออกจากกฎหมายสูงสุดของประเทศนั้น จะว่าไปแล้วก็เป็นไปตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เมื่อโครงการถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์ (The Human Genome Project) เสร็จสิ้นลงและได้มีการประกาศออกมาเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2543 ที่ทำเนียบขาว ศ. ดร. เจ. เครก เวนเทอร์ ผู้นำทางการวิจัย ดีเอ็นเอ ได้ประกาศว่าความเชื่อเรื่องเชื้อชาติ (Race) นั้นไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ใดๆ

(ปรับปรุงจาก มติชนรายวัน ฉบับวันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561 หน้า 16)


เชื้อชาติไม่มีอยู่จริง

ฝรั่งเศสถอดคำว่าเชื้อชาติออกจากรัฐธรรมนูญ

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ (อดีตอาจารย์คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร) ปรับปรุงใหม่จาก

(1.) GMLive ออนไลน์ เผยแพร่เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2561 และ (2.) บทความเรื่อง “France replaced the word ‘race’ with ‘sex’ in it constitution” (ประเทศฝรั่งเศสเปลี่ยนคำว่า ‘เชื้อชาติ’ เป็นคำว่า ‘เพศ’ แทน ในรัฐธรรมนูญ) โดย Aamna Mohdin (อะอัมนา โมห์ดิน) เผยแพร่ในเว็บไซต์ Quartz เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2561

“แนวคิดเรื่องเชื้อชาติ มิได้อยู่บนพื้นฐานองค์ความรู้ด้านพันธุกรรมหรือวิทยาศาสตร์” เครก เวนเทอร์ นักวิทยาศาสตร์ผู้บุกเบิกการจัดลำดับพันธุกรรมกล่าว (National Geographic)

นักการเมืองฝรั่งเศสไม่เชื่อในเรื่อง “เชื้อชาติ” มานาน เมื่อ 5 ปีก่อน พวกเขาได้ผลักดันกฎหมายให้ลบคำนี้ออกจากกฎหมายทุกฉบับได้สำเร็จมาแล้ว และล่าสุดก็ถึงคราวของ “รัฐธรรมนูญ” ที่มีคำนี้อยู่หนึ่งจุด เพื่อรับรองความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมายของบุคคล “ไม่ว่าจะมีกำเนิด เชื้อชาติ หรือศาสนาใดก็ตาม”

สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติของฝรั่งเศสจึงได้ลงมติเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ที่ผ่านมา ให้ถอดคำว่าเชื้อชาติออก และให้ใส่คำว่า “เพศ” ลงไปแทน

“เชื้อชาติ” มรดกนาซี

ทั้งนี้รายงานของ The Local กล่าวว่า คำว่า “เชื้อชาติ” ปรากฏในรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสเป็นครั้งแรกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อสื่อสารออกไปว่ารัฐจะไมยอมอดกลั้นต่ออุดมการณ์เหยียดเชื้อชาติที่ถูกโฆษณาชวนเชื่อโดยนาซี และระบอบวีชี (รัฐบาลนอกพื้นที่ยึดครองในฝรั่งเศสช่วงสงครามซึ่งให้การสนับสนุนนาซี) อีกต่อไป

[The Local เป็นชื่อสำนักข่าวออนไลน์ ซึ่งแปลข่าวจากภาษาอื่นๆ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน อิตาลี ฯลฯ ป็นภาษาอังกฤษ ลงเว็บไซต์]

ชนะเลือกตั้ง เพราะลบทิ้ง “เชื้อชาติ”

เมื่อมีการปรับปรุงรัฐธรรมนูญเมื่อปี 1958 คำว่า “เชื้อชาติ” ยังคงอยู่ในรัฐธรรมนูญ แต่ในระยะหลังนักการเมืองจากอาณาเขตฝรั่งเศสในทะเลแคริบเบียนและมหาสมุทรอินเดียได้ออกมาเรียกร้องให้ลบคำดังกล่าวออกจากรัฐธรรมนูญ

ระหว่างการหาเสียงในปี 2012 ฟร็องซัว ออล็องด์  ให้สัญญาว่าจะลบคำว่าเชื้อชาติออกจากประวัติศาสตร์ ขณะที่นิโกลา ซาร์กอซี ได้ออกมาคัดค้านโดยบอกว่า “ถ้าเราลบคำว่าการเหยียดเชื้อชาติออกไป ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีเรื่องเหยียดเชื้อชาตินี้สักหน่อย นี่มันบ้าชัดๆ!”

[ฟร็องซัว ออล็องด์ คืออดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนก่อนหน้าคนปัจจุบันนี้ ข้อความในข่าวหมายถึงว่า ตอนที่ออล็องด์หาเสียงนั้นได้ชูนโยบายว่าจะลบคำว่า “เชื้อชาติ” ทิ้งจากรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็ทำให้เขาได้รับเลือกตั้งจนเป็นประธานาธิบดีของฝรั่งเศสในระหว่าง พ.ศ. 2555-2560 นิโกลาส์ ซากอร์ซี่ เป็นอดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนก่อนหน้าออล็องด์ (พ.ศ. 2550-2555) ในเนื้อข่าวพูดถึงตอนที่เขาออกมาโจมตีนโยบายเรื่องการลบคำว่าเชื้อชาติของออล็องด์ ซึ่งสุดท้ายออล็องด์เป็นฝ่ายชนะ]

ยุโรปว่า “เชื้อชาติ” ไม่มีจริง แต่มีโดยการเมืองนาซี

รายงานของ Quartz (สำนักข่าวออนไลน์ภาษอังกฤษ) กล่าวว่า การจัดหมวดหมู่ทางเชื้อชาติซึ่งทำเป็นปกติทั้งในอังกฤษ และสหรัฐฯ เช่น การแบ่งแยกคนเป็นกลุ่มคนผิวขาว ผิวดำ หรือเอเชีย

แต่เป็นสิ่งที่ไม่มีในฝรั่งเศสร่วมถึงหลายประเทศในยุโรป เนื่องจากการเก็บสถิติทางเชื้อชาติมีรากเชื่อมโยงกับนาซีมาอย่างยาวนาน และยังเป็นไปเพื่อเลี่ยงการเหยียดเชื้อชาติ เลี่ยงการแบ่งแยกคนเป็นกลุ่มตามเชื้อชาติ และให้ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม

แต่ขณะเดียวกันก็มีผู้วิพากษ์วิจารณ์ว่าหลักการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รัฐบาล “มองไม่เห็น” และละเลยปัญหาการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติที่ยังคงมีอยู่ในประเทศ

[“การจำแนกคนโดยการเหยียดเชื้อชาติ เช่นแบ่งเป็น คนขาว, คนดำ และคนเอเชียน เป็นสิ่งปกติในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ แต่จะไม่เป็นสิ่งที่คงอยู่อย่างเป็นทางการในฝรั่งเศสอีกต่อไป (ในความเป็นจริงแล้ว การเหยียดเชื้อชาติได้หมดไปจากหลายชาติในทวีปยุโรป ที่ซึ่งข้อมูลการเหยียดเชื้อชาติส่วนใหญ่ มีความเกี่ยวโยงอยู่กับความคิดแบบนาซีเยอรมันมาอย่างยาวนาน) นั่นหมายความว่ารัฐบาลฝรั่งเศสจะไม่ปล่อยให้การเหยียดเชื้อชาติปรากฏอยู่ในโรงเรียน, มหาวิทยาลัย และที่ทำงาน อันแสดงให้เห็นว่า (รัฐบาลฝรั่งเศส) หลีกเลี่ยงการเหยียดเชื้อชาติ, หลีกเลี่ยงการแบ่งแยกผู้คนโดยเชื้อชาติ และจะปฏิบัติต่อคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน”]

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image